 |
|
การจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) ที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ เปิด
โอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทยมองเห็นช่องทางขยายธุรกิจไปอาเซียนมากขึ้น รวมถึงระบบแฟรนไชส์ซึ่ง
ถือเป็นธุรกิจรูปแบบหนึ่งที่มีความน่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ประกอบการตัดสินใจที่จะเข้าไปลงทุนในสิงคโปร์
ซึ่งบรรยากาศที่เอื้อต่อการลงทุนได้ดึงดูดแฟรนไชส์ชั้นนำจากทั่วโลก อาทิ สหรัฐฯ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ไต้หวัน และ
เกาหลีใต้ เข้ามาเปิดให้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ประเทศที่มีแฟรนไชส์มากที่สุดในสิงคโปร์ คือ สหรัฐฯ โดยมี
แฟรนไชส์อย่าง KFC, Starbucks, Pizza Hut, McDonalds, Mathnasium, Snap-On Tools, GNC Live Well และ
Comfort Keepers เข้าไปเปิดให้บริการหลายสาขา) ทั้งนี้ แฟรนไชส์ส่วนใหญ่ในสิงคโปร์จัดอยู่ในธุรกิจอาหารและ
เครื่องดื่ม ขณะที่ธุรกิจอื่นๆ อาทิ การศึกษา ค้าปลีก และสุขภาพ แม้ว่าจะมีสัดส่วนน้อยกว่า แต่ก็ถือเป็นธุรกิจที่มี
ความสำคัญซึ่งสร้างรายได้จำนวนมากให้แก่กิจการที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี ซึ่ง
นอกจากผู้ประกอบการจะขยายตลาดในสิงคโปร์แล้ว ยังสามารถใช้สิงคโปร์เป็นฐานขยายกิจการไปยังประเทศอื่นๆ
ในภูมิภาคในระยะถัดไปได้อีกด้วย
ปัจจัยสนับสนุนให้สิงคโปร์เป็นตลาดแฟรนไชส์ที่มีศักยภาพ
• ชาวสิงคโปร์มีกำลังซื้อมากที่สุดในอาเซียน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary
Fund: IMF) ระบุว่ารายได้ต่อหัวของประชากรสิงคโปร์ปี 2556 สูงที่สุดในอาเซียนและสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก
โดยอยู่ที่ 54,776 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี (เทียบกับไทย 5,674 ดอลลาร์สหรัฐ) และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยคาดว่าจะอยู่ที่ 61,237 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2560 นอกจากนี้ การที่สิงคโปร์เป็นตลาดที่ผสมผสานระหว่าง
วัฒนธรรมตะวันออกกับตะวันตก ส่งผลให้ชาวสิงคโปร์ยอมรับสินค้าจากทั่วทุกมุมโลก และเป็นปัจจัยดึงดูดธุรกิจ
แฟรนไชส์จากต่างประเทศให้หลั่งไหลเข้ามาจำนวนมาก ทั้งนี้ กำลังซื้อที่ค่อนข้างสูงทำให้ผู้บริโภคในสิงคโปร์
ให้ความสำคัญอย่างมากต่อคุณภาพของสินค้าและบริการ ดังนั้น แฟรนไชส์ที่ต้องการรุกตลาดดังกล่าวจึงควร
เน้นที่บริการหรือสินค้าระดับกลางและระดับบนเป็นหลัก
• มีหน่วยงานที่สนับสนุนธุรกิจแฟรนไชส์โดยเฉพาะ คือ Spring Singapore ซึ่งมีหน้าที่สนับสนุน
ความช่วยเหลือด้านการเงินให้แก่ธุรกิจแฟรนไชส์ และ International Enterprise Singapore (IE Singapore)
ซึ่งช่วยเหลือกิจการที่ต้องการรับสิทธิ์แฟรนไชส์จากต่างประเทศ และแฟรนไชส์ที่ต้องการขยายธุรกิจไปยังประเทศ
อื่นๆ โดยไม่จำกัดว่าเจ้าของกิจการนั้นจะเป็นชาวสิงคโปร์หรือชาวต่างชาติ แต่มีเงื่อนไขว่ากิจการนั้นต้องมีสำนักงาน
อยู่ในสิงคโปร์
• บรรยากาศเอื้อต่อการทำธุรกิจ การติดต่อกับหน่วยงานราชการในสิงคโปร์ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ขณะที่
กฎหมายด้านการลงทุนจากต่างประเทศมีความชัดเจนและแน่นอน ทั้งนี้ รายงาน “Doing Business” ปี 2557 ของ
ธนาคารโลก (The World Bank) ระบุว่าสิงคโปร์มีบรรยากาศเอื้อต่อการทำธุรกิจ (Ease of Doing Business)
มากที่สุดจากการจัดอันดับทั้งหมด 189 ประเทศ สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีศักยภาพสูง
ในการเข้าไปขยายตลาดหรือทำธุรกิจ
• นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาสิงคโปร์เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง Singapore Tourism Board (STB)
รายงานนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาสิงคโปร์ในปี 2556 มีจำนวน 15.6 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.4 จากปี
2555 เป็นนักท่องเที่ยวชาวอินโดนีเซียมากที่สุดถึง 3.1 ล้านคน ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวจีนมีจำนวนรองลงมาที่
2.3 ล้านคน จึงนับเป็นโอกาสของแฟรนไชส์ต่างๆ โดยเฉพาะอาหารและเครื่องดื่ม ในการขยายตลาดเพื่อรองรับ
ความต้องการที่เพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยว
เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจแฟรนไชส์ในสิงคโปร์
• ประเภทธุรกิจแฟรนไชส์ที่น่าสนใจ
อาหารและเครื่องดื่ม ชาวสิงคโปร์นิยมรับประทานอาหารนอกบ้าน เนื่องจากวิถีชีวิตประจำวันที่เร่งรีบ
ส่งผลให้มีข้อจำกัดเรื่องเวลาในการประกอบอาหารรับประทานเองที่บ้าน ขณะที่ในวันหยุดชาวสิงคโปร์ก็นิยมพา
ครอบครัวออกไปรับประทานอาหารที่ร้านอาหารเช่นเดียวกัน โดยชาวสิงคโปร์มีนิสัยชอบลิ้มลองอาหารรสชาติ
แปลกใหม่ และมีความคุ้นเคยกับอาหารไทยเป็นอย่างดี นอกจากนี้ กระแสรักสุขภาพประกอบกับการให้ความสำคัญ
กับคุณภาพของสินค้ามากกว่าราคา ส่งผลให้อาหารเพื่อสุขภาพมีแนวโน้มได้รับความนิยมมากขึ้น จึงเป็นโอกาส
ของผู้ประกอบการไทยในการขายสิทธิ์ดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ที่เกี่ยวข้องกับอาหารเพื่อสุขภาพ อาหารเกษตรอินทรีย์
หรืออาหารที่ทำจากสมุนไพรแก่ผู้ประกอบการสิงคโปร์ หรือกระทั่งอาจจับมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับผู้ประกอบ
ธุรกิจร้านอาหารในสิงคโปร์ เพื่อป้อนวัตถุดิบหรือขยายช่องทางการจัดจำหน่ายอาหารได้อีกด้วย
• รูปแบบการทำธุรกิจแฟรนไชส์
เจ้าของแฟรนไชส์ชาวต่างชาติสามารถเปิดสาขาของตนเองในสิงคโปร์โดยตรงผ่านบริษัทแม่ หรือโอนสิทธิ์
แฟรนไชส์ให้ผู้ประกอบการสิงคโปร์ได้เช่นกัน การโอนสิทธิ์ดังกล่าวสามารถกระทำได้โดยอิงตามกฎหมายสัญญา
(Contract Law) เนื่องจากสิงคโปร์ไม่มีกฎหมายจำเพาะเจาะจงเกี่ยวกับการโอนสิทธิ์แฟรนไชส์ ทั้งนี้ ตามปกติแล้ว
เจ้าของแฟรนไชส์ส่วนใหญ่จะเข้าสู่ตลาดสิงคโปร์ในรูปแบบ Master Franchising [หมายถึงเจ้าของแฟรนไชส์
(Master Franchisor) โอนสิทธิ์การบริหารจัดการกิจการแฟรนไชส์ภายใต้ขอบเขตพื้นที่หรือประเทศที่ตกลงกันแก่
บุคคลหรือนิติบุคคลที่เรียกว่าผู้รับโอนสิทธิ์ (Master Franchisee) โดยผู้รับโอนสิทธิ์สามารถโอนสิทธิ์นี้ต่อให้บุคคล
หรือนิติบุคคลอื่น (Sub-Franchisee) ได้ภายในพื้นที่หรือประเทศที่ตกลงกัน]
• ข้อบังคับ/กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
สิงคโปร์ไม่มีกฎหมายแฟรนไชส์บังคับใช้โดยตรง อย่างไรก็ตาม การประกอบธุรกิจดังกล่าวยังต้องปฏิบัติ
ตามกฎระเบียบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ Business Registration Act, Companies Act, Limited Liability
Partnership Act, Trade Marks Act และ Competition Act ทั้งนี้ ในกรณีที่ชาวต่างชาติที่ไม่มีถิ่นที่อยู่ถาวรใน
สิงคโปร์แต่ต้องการประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ต้องยื่นขอใบอนุญาตการจ้างงาน (Employment Pass) ตามข้อกำหนด
การเข้าเมืองของสิงคโปร์ก่อน เมื่อได้รับอนุมัติจึงสามารถนำไปจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจต่อ Accounting and
Corporate Regulatory Authority (ACRA) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลที่ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กร
ธุรกิจประเภทต่างๆ ของสิงคโปร์
แม้ว่าการขยายธุรกิจแฟรนไชส์ไปยังสิงคโปร์จะมีโอกาสมาก อย่างไรก็ตาม ยังมีอุปสรรคสำคัญบางประการ
ที่ผู้ประกอบการโดยเฉพาะด้านอาหารและเครื่องดื่มต้องเผชิญ คือ การแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรง เนื่องจาก
ผู้ประกอบการภายในสิงคโปร์มีความใกล้ชิดตลาดและได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเป็นอย่างดี ขณะที่แฟรนไชส์
จากต่างประเทศอย่างสหรัฐฯ ก็เป็นที่รู้จักและมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ ในการเสริมสร้างความน่าเชื่อถือ
และพัฒนาศักยภาพของธุรกิจ ผู้ประกอบการอาจเลือกสมัครเข้าเป็นสมาชิกของ Franchising and Licensing
Authority (FLA) ซึ่งเป็นหน่วยงานของสิงคโปร์ทำหน้าที่จัดการดูแลและพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์โดยเฉพาะ โดย
FLA จะช่วยกำกับดูแลการดำเนินงาน ตลอดจนให้คำแนะนำด้านต่างๆ แก่ผู้ประกอบการ อาทิ กฎหมาย สัญญาที่
เกี่ยวข้อง การฝึกอบรม และแนวทางการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจประสบความสำเร็จในระยะยาว
|
|
|
|