การพัฒนาระบบ e-Government ของมาเลเซีย…โอกาสขยายตลาด e-Commerce  
            ด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ใน
ประเทศอย่างจริงจังและต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน ทำให้ปัจจุบันมาเลเซีย
ซึ่งเป็นตลาดพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) ขนาดใหญ่ของ
อาเซียนกำลังบรรลุเป้าหมายตามแผนพัฒนาการให้บริการภาครัฐผ่าน
เครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ หรือที่เรียกว่า "e-Government" ซึ่งกำหนดให้
หน่วยงานภาครัฐของมาเลเซียสามารถให้บริการผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้
ทั้งหมดภายในปี 2563 เมื่อถึงเวลานั้น ภาคธุรกิจในมาเลเซียจะสามารถ
เข้าถึงบริการของหน่วยงานภาครัฐรวมถึงข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการ
ดำเนินธุรกิจในมาเลเซียได้สะดวกขึ้น จึงอาจกล่าวได้ว่าการพัฒนาระบบ
e-Government เป็นกลยุทธ์หนึ่งของมาเลเซียในการส่งเสริมการลงทุน
ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสของนักลงทุนทั้งในประเทศและนักลงทุนต่างชาติ
รวมถึงนักลงทุนไทยในการเข้าไปลงทุนในมาเลเซีย

          ทำความรู้จักระบบ e-Government ของมาเลเซีย
          นอกจากสิงคโปร์แล้ว มาเลเซียเป็นอีกประเทศหนึ่งที่เป็นต้นแบบ
ของประเทศในอาเซียนที่เร่งพัฒนาระบบ e-Government โดยในปี 2539 มาเลเซียริเริ่มแนวคิดการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง
ของการพัฒนารูปแบบการให้บริการของภาครัฐ ก่อนยกระดับเป็น
แผนพัฒนาระบบ e-Government ในปี 2548 กระทั่งในปี 2558
ระบบ e-Government ของมาเลเซียได้รับการพัฒนามากขึ้นจนครอบคลุม
การให้บริการของหน่วยงานภาครัฐกว่าร้อยละ 60 ของเป้าหมายที่ตั้งไว้
  ขณะที่รัฐบาลมาเลเซียยังคงเดินหน้าเพิ่มขอบเขตการให้บริการเป็นร้อยละ 90 ในปี 2559 นอกจากนี้ ยังมีแผนจัดตั้งห้องปฏิบัติการพิสูจน์
หลักฐานทางดิจิทัล (Digital Forensics Laboratory) ในปี 2560 และตั้งเป้าให้หน่วยงานภาครัฐ 19 แห่ง สามารถเปิดรับชำระเงินออนไลน์
ผ่านโทรศัพท์มือถือภายในปี 2563 สำหรับรูปแบบการให้บริการของระบบ e-Government ในมาเลเซีย แบ่งออกเป็น 2 ประเภทตาม
กลุ่มผู้รับบริการ คือ ภาคประชาชน และภาคธุรกิจ ที่สำคัญ มีดังนี้
 
  ที่มา : The Malaysian Administrative Modernisation and Management Unit (MAMPU)  
            ระบบ e-Government เพิ่มโอกาสการลงทุน e-Commerce ในมาเลเซีย
          การเร่งพัฒนาระบบ e-Government ถือเป็นการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT ของมาเลเซียให้สามารถรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ
ที่จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในทุกกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันมาเลเซียเป็นประเทศที่มีความพร้อมด้าน IT ในระดับสูง สะท้อนได้จาก
การจัดอันดับความพร้อมด้านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Network Readiness Index: NRI) ของ World Economic Forum (WEF) ในปี 2558
มาเลเซียอยู่อันดับที่ 32 ของโลก (สิงคโปร์อยู่อันดับที่ 1 และไทยอยู่อันดับที่ 67) จากการจัดอันดับทั้งหมด 143 ประเทศ ขณะที่กลุ่ม
ผู้บริโภคในตลาด e-Commerce ของมาเลเซียมีจำนวน 23 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 74 ของประชากรทั้งประเทศเป็นที่น่าสังเกตว่า
การพัฒนาระบบ e-Government นอกจากจะเป็นการยกระดับความพร้อมด้าน IT ให้แก่มาเลเซียแล้ว ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการเจาะตลาด
e-Commerce ของมาเลเซียอีกด้วย
 
 

          อย่างไรก็ตาม ระบบ e-Government ที่ถูกพัฒนาขึ้นมานั้นเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่เกื้อหนุนให้การดำเนินธุรกิจ e-Commerce ใน
มาเลเซียสะดวกขึ้น แต่การดำเนินธุรกิจ e-Commerce ในมาเลเซียให้ประสบความสำเร็จ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องศึกษาโครงสร้างตลาด
เพื่อให้ทราบถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคชาวมาเลเซีย ช่องทางการเข้าถึงสินค้า สภาพการแข่งขัน และวิธีการชำระเงิน เพื่อกำหนดกลยุทธ์
การตลาดและกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เหมาะสม กล่าวคือ

 
  ชาวมาเลเซียมีกำลังซื้อสูง ขณะที่ภาวะการแข่งขัน
ในตลาดมีความรุนแรงในระดับสูง นอกจากนี้
ชาวมาเลเซียส่วนใหญ่ยังนิยมชำระค่าสินค้าผ่านระบบออนไลน์
  ช่องทางการเข้าถึงสินค้าและบริการผ่านระบบออนไลน์
ของชาวมาเลเซีย ได้แก่ Facebook, Groupon
และเว็บไซต์สื่อกลางของร้านค้า เช่น Amazon และ Lazada
รวมถึงเว็บไซต์ของร้านค้าโดยตรง
 
            เป็นที่น่าสังเกตว่า สินค้าที่ชาวมาเลเซียส่วนใหญ่นิยมซื้อผ่านช่องทางออนไลน์เป็นสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
เสื้อผ้าแฟชั่น อาหาร และเครื่องสำอาง โดยปัจจัยที่ชาวมาเลเซียใช้ประกอบการพิจารณาเลือกซื้อสินค้าจากร้านค้าออนไลน์ ได้แก่ ราคา
คุณภาพ ความหลากหลาย และความทันสมัยของสินค้า ตลอดจนความปลอดภัยของระบบชำระค่าสินค้าและความรวดเร็วในการขนส่งสินค้า
ดังนั้น กลยุทธ์การตลาดและกลยุทธ์ทางธุรกิจที่สำคัญซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจและแรงจูงใจให้เกิดการซื้อ คือ การเพิ่มความหลากหลาย
และความทันสมัยของสินค้า ขณะที่กลยุทธ์ด้านราคา โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายด้วยการลดแลกแจกแถม ยังคงเป็นกลยุทธ์
สำคัญที่ดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคชาวมาเลเซียซึ่งมีความอ่อนไหวต่อราคาได้เป็นอย่างดี
          สำหรับธุรกิจไทยที่มีโอกาสเจาะตลาด e-Commerce ของมาเลเซีย ได้แก่ ธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรม ธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจจองตั๋ว
ออนไลน์ (อาทิ สวนน้ำ และสวนสนุก) ธุรกิจบริการด้านสุขภาพ (อาทิ การรักษาโรค และการศัลยกรรม) ส่วนสินค้าไทย ได้แก่ สินค้าอาหาร เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าธุรกิจดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่ชาวมาเลเซียต้องเดินทางเข้ามาเพื่อ
รับบริการในประเทศไทย การใช้กลยุทธ์การสร้างพันธมิตรร่วมกับผู้ประกอบการในธุรกิจ e-Commerce ด้วยกันจะช่วยส่งเสริมความแข็งแกร่ง
ภายในกลุ่มผู้ประกอบการไทย ขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการที่ขายสินค้าออนไลน์สามารถใช้กลยุทธ์ผูกมิตรกับผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ในไทย
และมาเลเซีย เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ สำหรับสินค้าที่ผู้ประกอบการไทยจำหน่ายผ่านช่องทางการค้า
ออนไลน์ในมาเลเซียแล้ว ได้แก่ สินค้ากลุ่มเสื้อผ้าแฟชั่นและเครื่องใช้ในครัวเรือน เช่น กลุ่มสินค้าเครื่องนอน ของตกแต่งบ้าน และเครื่องใช้
ภายในบ้าน
          ทั้งนี้ บทบาทที่เพิ่มขึ้นของ IT ในระบบเศรษฐกิจและสังคม ทำให้ให้ผู้บริโภคในยุคปัจจุบันเป็นผู้ที่รับข้อมูลตลอดเวลา อีกทั้งยัง
สามารถเข้าถึงข้อมูลปริมาณมากได้โดยง่ายภายในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้น ธุรกิจต่างๆ จึงจำเป็นต้องปรับตัวให้สอดรับกับบริบททางการค้า
ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะการแข่งขันในประเทศที่มีความพร้อมด้าน IT ในระดับสูงอย่างมาเลเซีย
 
  Disclaimer : ข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏเป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น
โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ ไม่ว่าโดยทางใด