เตรียมรับมือกับ “เศรษฐกิจไทยที่โตต่ำกว่าระดับศักยภาพ”  
   
            รายงาน World Economic Outlook ฉบับล่าสุดของ IMF ประเมินว่า อัตราขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปี 2558 และ
ปี 2559 มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นจากหลายปีที่ผ่านมา โดยได้อานิสงส์จากเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วที่ค่อยๆ ฟื้นตัวจาก
ผลของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมาตรการ QE ประกอบกับเศรษฐกิจประเทศตลาดเกิดใหม่หลายประเทศที่แม้
จะชะลอลงบ้างแต่ยังขยายตัวได้ในเกณฑ์ดี อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ IMF กังวลมากขึ้นเป็นลำดับ
ขณะที่สื่อต่างๆ เริ่มพูดถึงกันมากขึ้นคือ การที่เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของหลายประเทศกำลังขยายตัวได้ต่ำกว่า “ระดับ
ศักยภาพ”
          โดยทั่วไปการรายงานข่าวเกี่ยวกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจมักจะแสดงอยู่ในรูป GDP Growth ซึ่งจะประกาศทุกราย
ไตรมาสและรายปี ขณะที่ “อัตราขยายตัวตามระดับศักยภาพ” หรือที่อาจทับศัพท์ว่า “Potential GDP Growth” จะไม่
ประกาศตามสื่อทั่วไป แต่จะถูกพูดถึงมากในแวดวงนักวิชาการและผู้กำหนดนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่ง Potential
GDP Growth นี้หมายถึง อัตราขยายตัวสูงสุดที่เศรษฐกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่
อย่างเต็มศักยภาพ และไม่ก่อให้เกิดปัญหาด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจตามมา ทั้งนี้ หลายคนอาจเข้าใจว่า Potential
GDP Growth จะต้องสูงกว่า GDP Growth เสมอ แต่ในความเป็นจริงแล้ว Potential GDP อาจต่ำกว่าหรือสูงกว่า GDP ก็ได้
ซึ่งสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกันและจะมีความสำคัญต่อการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของประเทศทั้งด้านการเงิน
และการคลังที่แตกต่างกัน ดังนี้
          GDP ขยายตัวมากกว่า Potential GDP คือ การที่เศรษฐกิจขยายตัวสูงกว่าระดับศักยภาพ จะเกิดในช่วงที่
เศรษฐกิจเติบโตอย่างร้อนแรง เงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น รัฐบาลและธนาคารกลางของประเทศดังกล่าวจะดำเนินนโยบาย
การคลังและนโยบายการเงินแบบตึงตัว เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และพยายามเบรกเศรษฐกิจไม่ให้เติบโตร้อนแรงเกินไป
จนนำไปสู่ภาวะฟองสบู่อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศไทยในช่วงก่อนวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540
          GDP ขยายตัวต่ำกว่า Potential GDP คือ การที่เศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าระดับศักยภาพ จะเกิดในช่วงที่
เศรษฐกิจถดถอยหรือชะลอลง รัฐบาลและธนาคารกลางจะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องอย่างที่เกิดขึ้น
ในปัจจุบันที่หลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยซึ่งเศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะลอตัวและมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
และออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อยกระดับ GDP ให้กลับมาอยู่ระดับใกล้เคียงกับ
Potential GDP
          สำหรับประเทศไทย มีหลายหน่วยงานที่ได้ทำการศึกษา Potential GDP Growth ของเศรษฐกิจไทย อาทิ TDRI,
World Bank, ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, สศช. เป็นต้น ซึ่งแม้ตัวเลขจะคลาดเคลื่อนกันไปบ้าง แต่โดยทั่วไปมักอยู่ในระดับ
ใกล้เคียงกันที่ 5-6% อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 2552-2556 เศรษฐกิจไทยขยายตัวเฉลี่ยเพียง 2.6% ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าระดับ
ศักยภาพค่อนข้างมาก ทำให้เริ่มมีความเป็นห่วงว่า การที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าระดับศักยภาพดังกล่าวเป็นเวลานาน
อาจทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ทั้งนี้ มีการประเมินว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ GDP Growth
ของประเทศไทยอยู่ระดับต่ำกว่า Potential GDP Growth เกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่สำคัญดังนี้
          1. ปัญหาด้านแรงงาน ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงานอย่างรุนแรง ทำให้ต้องมีการนำเข้า
แรงงานต่างด้าวจำนวนมาก ซึ่งแรงงานต่างด้าวดังกล่าวยังมีศักยภาพไม่ดีนัก ทำให้อัตราขยายตัวของผลิตภาพแรงงานลดลง
นอกจากนี้ การที่แรงงานจบใหม่มีทักษะไม่ตรงกับความต้องการของตลาดอย่างแท้จริง ปัญหาดังกล่าวทำให้เศรษฐกิจไทย
ขาดกำลังคนที่มีประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนภาคการผลิตและเศรษฐกิจโดยรวม
          2. ปัญหาการชะงักงันของการลงทุน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาการลงทุนของไทยชะลอลงมาก ทั้งการลงทุนภาค
เอกชนที่ต้องเผชิญกับปัญหาภัยธรรมชาติ ปัญหาเศรษฐกิจโลกซบเซาและความไม่แน่นอนทางการเมืองที่บั่นทอนความ
เชื่อมั่นของภาคเอกชนเป็นระยะ ประกอบกับในส่วนของการลงทุนภาครัฐก็ขาดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
มานาน ทำให้ประเทศไทยขาดระบบสาธารณูปโภคที่มีคุณภาพอย่างเพียงพอเพื่อรองรับการพัฒนาประเทศและดึงดูดเม็ด
เงินลงทุนใหม่จากต่างชาติ
          3. ขาดการพัฒนาด้านเทคโนโลยี ประเทศไทยขาดการทำวิจัยและพัฒนา (R&D) อย่างจริงจังและเป็นระบบ
สะท้อนได้จากสัดส่วนการลงทุน R&D ต่อ GDP ของประเทศที่อยู่ในระดับต่ำราว 0.25% ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วอย่าง
เกาหลีใต้และญี่ปุ่นอยู่ที่ราว 4.0% และ 3.4% ตามลำดับ ปัจจัยดังกล่าวทำให้ไทยขาดการพัฒนาด้านนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อ
สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าหรือสร้างแบรนด์สินค้าของตัวเอง ขณะเดียวกันสินค้าไทยเริ่มสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
ด้านราคาให้กับคู่แข่งอื่นๆ อาทิ เวียดนาม อินโดนีเซีย เป็นต้น
          ปัญหาเชิงโครงสร้างต่างๆ ข้างต้นถือเป็นข้อจำกัดสำคัญที่ผู้ประกอบการไทยกำลังเผชิญ ซึ่งผู้ประกอบการเองควร
ต้องเร่งปรับตัวในเรื่องของการพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพของแรงงาน ทุน และเทคโนโลยี ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ
เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของตนก่อนที่จะสายเกินไป