ปี 2565 ถือได้ว่าเป็นปีที่ค่าเงินบาทมีความผันผวนเป็นอย่างมาก ซึ่งแน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินในแต่ละครั้ง
ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็น
ตัวแปรสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อผลกำไรและภาวะขาดทุนของธุรกิจ ดังนั้น การศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับกลไกอัตราแลกเปลี่ยน
ไปจนถึงวิธีการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เหมาะสมถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการรับมือกับความผันผวน
ของค่าเงินได้ดียิ่งขึ้น โดยประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับค่าเงินที่ผู้ประกอบการควรรู้ในเบื้องต้น มีดังนี้
 
  สถานการณ์ค่าเงินบาท…ผันผวนในทิศทางอ่อนค่าลงในช่วงที่ผ่านมา  
             ค่าเงินบาทยังคงผันผวนสูง โดยทำสถิติอ่อนค่าหนักสุดในรอบ 16 ปี เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แตะระดับ 36.8 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ก่อนจะแข็งค่ามาอยู่ที่ราว 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน นับเป็นการอ่อนค่าลงราว 7% จากต้นปี 2565 ทั้งนี้ สาเหตุที่ทำให้เงินบาทอ่อนค่าเป็นผลจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอก สำหรับปัจจัยภายในส่วนหนึ่งเกิดจากเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวช้า อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ และปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ขณะที่ปัจจัยภายนอกมาจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ฟื้นตัวได้เร็วทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นสูงสุดในรอบ 20 ปี รวมถึงการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อของธนาคารกลางสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม การอ่อนค่าของเงินบาทถือเป็นผลดีต่อผู้ส่งออกไทยโดยรวมทั้งในด้านความได้เปรียบด้านราคา และรายรับในรูปเงินบาทที่เพิ่มขึ้น สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทในระยะถัดไป หากการท่องเที่ยวของไทยฟื้นตัวได้เร็วและผลักดันให้ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเกินดุลได้อาจทำให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าได้บ้างเช่นกัน  
  หมายเหตุ : อัตราอ้างอิง
ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย
 
  ข้อสังเกต
แม้ในช่วงที่ผ่านมาเงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบสกุลเงินหลักอื่น อาทิ เยน ยูโร และปอนด์ เงินบาทของไทยกลับมีทิศทางแข็งค่า
 
  ทำความเข้าใจปัจจัย 3 ระดับ ที่ส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยน  
            อัตราแลกเปลี่ยนเปรียบได้กับราคาของเงินสกุลหนึ่ง โดยกลไกราคาดังกล่าวจะเป็นไปตามอุปสงค์และอุปทานของเงินสกุลนั้น ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบมีหลากหลายตัวแปรและสามารถแบ่งระดับชั้นของการส่งผลกระทบได้เป็น 3 ระดับ ดังนี้  
  ดุลบัญชีเดินสะพัด  
    ดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นหนึ่งในปัจจัยพื้นฐานที่สะท้อนความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากดุลบัญชีเดินสะพัดแสดงถึงปริมาณสุทธิของรายรับและรายจ่ายของภาคเศรษฐกิจจริง ซึ่งส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของค่าเงินสกุลท้องถิ่น โดยหากประเทศเกินดุลบัญชีเดินสะพัด หรือรายรับจากการส่งออกสินค้าและบริการมากกว่ารายจ่ายจากการนำเข้าสินค้าและบริการ ประเทศจะมีเงินสกุลต่างประเทศเข้ามาในระบบมากขึ้นและเงินดังกล่าวจะถูกนำมาแลกเป็นเงินสกุลท้องถิ่นเพื่อใช้ในประเทศ ซึ่งทำให้ความต้องการเงินสกุลท้องถิ่นมีแนวโน้มสูงขึ้นและส่งผลให้มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ในทางกลับกัน หากประเทศขาดดุลบัญชีเดินสะพัด หรือรายจ่ายในการนำเข้าสินค้าและบริการสูงกว่ารายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการ จะส่งผลให้ประเทศมีเงินสกุลต่างประเทศเข้ามาในระบบน้อยกว่าความต้องการใช้เพื่อจ่ายค่าสินค้าและบริการ ก็จะส่งผลในทิศทางตรงกันข้าม นั่นคือ เงินสกุลท้องถิ่นมีแนวโน้มอ่อนค่าลง  
  นโยบายการเงิน  
  นโยบายอัตราดอกเบี้ย นับเป็นหนึ่งตัวแปรสำคัญที่มีอิทธิพลต่ออัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากในตลาดการเงินโลกนักลงทุน
มีแนวโน้มย้ายเงินลงทุนออกจากประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำไปยังประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า สถานการณ์ดังกล่าว
ทำให้เกิดการไหลเข้าออกของเงินทุนในแต่ละประเทศจนส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยน
 
  ปัจจุบันนโยบายอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ เป็นตัวแปรที่ตลาดให้ความสำคัญมากที่สุด เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินที่ใช้แพร่หลายที่สุดในโลก ดังนั้น จากสถานการณ์ปัจจุบันที่สหรัฐฯ มีแนวโน้มขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจนแตะระดับ 3.25-3.50% ภายในปี 2565 ส่งผลให้มีการคาดการณ์ว่า จะเกิดการไหลกลับของเงินทุนจากประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกลับเข้าสหรัฐฯ มากขึ้น และทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ซึ่งในทางกลับกันสกุลเงินอื่นก็มีแนวโน้มอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยตัวอย่างของสกุลเงินที่อยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว อาทิ เงินเยนของญี่ปุ่น และเงินบาทของไทย อย่างไรก็ตาม เป็นที่สังเกตได้ว่าส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยอาจไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของเงินทุนเสมอไป เช่นในกรณีของอินเดียและอินโดนีเซีย ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าสหรัฐฯ แต่ยังเผชิญกระแสเงินทุนไหลออก เนื่องจากยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกหลายปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อค่าเงินมากกว่า  
  นโยบายการดูแลค่าเงิน โดยทั่วไปธนาคารกลางของแต่ละประเทศมีหน้าที่ดูแลและแทรกแซงค่าเงินไม่ให้ผันผวน
มากเกินไปจนอาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่น หากเกิดกรณีที่สกุลเงินประเทศใดประเทศหนึ่ง
มีแนวโน้มอ่อนค่ารวดเร็ว ธนาคารกลางอาจจำเป็นที่จะต้องเข้ามาแทรกแซงค่าเงินด้วยการนำทุนสำรองระหว่างประเทศ
มาซื้อเงินสกุลท้องถิ่นในตลาดเพื่อให้ความต้องการเงินสกุลท้องถิ่นในตลาดเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยชะลอการอ่อนค่าลง
 
  เสถียรภาพของประเทศ  
    เสถียรภาพทั้งด้านเศรษฐกิจ การเงิน และการเมือง เป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนระหว่างประเทศ ดังนั้น เสถียรภาพของประเทศในด้านต่าง ๆ ที่มั่นคงและมีแนวโน้มดี ย่อมดึงดูดเงินลงทุนเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้นและจะช่วยทำให้เงินสกุลท้องถิ่นมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ขณะที่หากเสถียรภาพของประเทศมีความไม่แน่นอน อาทิ เกิดความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศ และเศรษฐกิจผันผวนและมีแนวโน้มซบเซา ก็จะส่งผลให้เกิดการถอนการลงทุนและนำเงินออกนอกประเทศ ซึ่งก็จะทำให้เงินสกุลท้องถิ่นมีแนวโน้มอ่อนค่า  
  กลยุทธ์รับมือค่าเงินผันผวนด้วยหลายเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง  
            ผู้ประกอบการสามารถจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนได้ด้วยเครื่องมือบริหารความเสี่ยงจากอัตรา
แลกเปลี่ยน โดยเครื่องมือแต่ละประเภทมีรายละเอียดพอสังเขป ดังนี้
 
  ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย และรวบรวมโดยฝ่ายวิจัยธุรกิจ EXIM BANK  
  นอกเหนือจากการใช้เครื่องมือต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ผู้ประกอบการยังควรติดตามสถานการณ์และแนวโน้มค่าเงินอยู่สม่ำเสมอ รวมถึงอาจพิจารณาใช้แนวทางอื่น ๆ ในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนร่วมด้วย อาทิ ในช่วงที่เงินบาทอ่อนค่าเช่นปัจจุบัน ผู้นำเข้าสินค้าและวัตถุดิบอาจลองหา Supplier ในประเทศ เพื่อลดแรงกดดันจากค่าเงิน ขณะที่ผู้ส่งออกสามารถใช้ความได้เปรียบ
ด้านราคาในการรุกทำการตลาดในต่างประเทศเพื่อให้สินค้าเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
ทำให้ผู้ประกอบการมีเวลาไปทุ่มเทกับการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ตลอดจนมองหา
ลู่ทางในการขยายการค้าการลงทุนไปยังประเทศอื่น ๆ ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าค่าเงินจะผันผวนไปในทิศทางใดอีก
 
  Disclaimer : ข้อมูลต่าง ๆ ที่ปรากฏ เป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น
โดย EXIM BANK จะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด
 
  ที่มาของรูปภาพ : Freepik, Kiranshastry, srip, juicy_fish, kerismaker, Rashad, kosonicon, Aranagraphics from www.flaticon.com  
  หน้าหลัก  I  Share โลกเศรษฐกิจ  I  เปิดประตูสู่ตลาดใหม่  I  ส่องเทรนด์โลก  I  เกร็ดการเงินระหว่างประเทศ
CEO Talk  I  แนะนำบริการ  I  สรุปข่าว