ปีเสือที่ผ่านมาโลกได้เผชิญกับความท้าทายในหลากหลายมิติ ท่ามกลางความพยายามในการฟื้นตัวจากวิกฤต COVID-19 ที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเมื่อเข้าสู่ปีกระต่าย คงต้องยอมรับว่าภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูงทั้งจากสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อข้ามปี ปัญหาเงินเฟ้อสูง และผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ตลอดจนภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้นในหลายประเทศ ขณะที่ IMF คาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2566 (คาดการณ์ ณ เดือนตุลาคม 2565) จะขยายตัวเพียง 2.7% ชะลอลงจากที่ขยายตัว 3.2% ในปี 2565 นับเป็นการขยายตัวต่ำที่สุดในรอบ 21 ปี (ไม่รวมช่วงที่เศรษฐกิจโลกเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ) โดยมุมมองต่อเศรษฐกิจโลกอยู่ในทิศทางที่แย่ลงกว่าคาดการณ์เดิมหรือที่เรียกว่า Downside Risk ลงเรื่อย ๆ ซึ่งล่าสุดธนาคารโลกปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2566 เหลือขยายตัวเพียง 1.7% อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจโลกในปีกระต่ายดูเหมือนจะไม่สดใสนักจากหลายปัจจัยฉุดรั้ง แต่ยังมีประเด็นโอกาสและความท้าทาย รวมถึงกระแสสำคัญอื่น ๆ ที่น่าติดตามในปีนี้ ซึ่งสามารถมองผ่านในบริบทของปี ค.ศ. 2-0-2-3 ได้ดังนี้
 
  “2”…2 เครื่องยนต์หลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย  
            “2” ตัวแรก คือ 2 เครื่องยนต์หลักที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ได้แก่ ภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศ สวนทางกับเครื่องยนต์เดิมอย่างการส่งออกของไทยที่คาดว่าจะชะลอตัวตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลก โดย IMF คาดการณ์ (ณ เดือนตุลาคม 2565) ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2566 จะขยายตัวที่ 3.7% ต่อเนื่องจาก 2.8% ในปี 2565 โดยมีแรงส่งจาก 2 เครื่องยนต์หลัก ดังนี้  
  ภาคท่องเที่ยว ซึ่งได้รับอานิสงส์จากปรากฏการณ์ Revenge Travel หรือการที่นักท่องเที่ยวเริ่มออกเดินทางอย่างต่อเนื่อง หลังจากอัดอั้นกันมาตลอดในช่วง COVID-19 ระบาดรุนแรง และจากการสำรวจพบว่า นักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งรู้สึกว่าต้องรีบท่องเที่ยว แม้ต้นทุนการเดินทางจะเพิ่มขึ้น เพราะในอนาคตอาจเกิดสถานการณ์ที่ทำให้ไม่สามารถท่องเที่ยวได้อีก จึงทำให้ตัดสินใจเดินทางทันที ซึ่งคาดว่าปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทยเพิ่มขึ้นเป็น 25 ล้านคน จากราว 11 ล้านคนในปี 2565 นอกจากนี้ การที่จีนเริ่มเปิดประเทศก็ยิ่งทำให้กระแส Revenge Travel เข้มข้นมากขึ้น ซึ่งจะช่วยหนุนการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง อาทิ โรงแรม ร้านอาหาร ค้าปลีก และขนส่ง  
  การบริโภคในประเทศ ซึ่งจะได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจ้างงานในภาคบริการที่ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน  
  “0”…ภารกิจสู่ Zero (Emissions)  
            “0” คือ ภารกิจสู่ Zero (Emissions) เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์หรือ Net Zero Emissions เป็นภารกิจสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน โดยประเทศไทยได้ตั้งเป้า Net Zero Emissions ไว้ภายในปี 2608 ซึ่งสำหรับภาคธุรกิจ การวางกลยุทธ์ให้สอดรับกับเป้าหมายดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์เชิงรุกที่เน้นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของธุรกิจ และการรุกลงทุนในเทรนด์ธุรกิจใหม่ อาทิ พลังงานสะอาด ยานยนต์ไฟฟ้า และสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังควรเตรียมกลยุทธ์เชิงรับเพื่อรับมือกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ อาทิ มาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของ EU ซึ่งเตรียมเริ่มบังคับใช้ระยะแรกในช่วง Transitional Period ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 กับกลุ่มสินค้าเบื้องต้น ได้แก่ เหล็ก ซีเมนต์ อะลูมิเนียม ปุ๋ย กระแสไฟฟ้า ไฮโดรเจน และสินค้าปลายน้ำบางรายการ อาทิ น็อตและสกรูที่ทำจากเหล็กและเหล็กกล้า  
  “2”…โลก 2 ขั้ว (Decoupling)  
            “2” ตัวถัดมา คือ โลกถูกแบ่งเป็น 2 ขั้ว (Decoupling) ชัดเจนและทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งด้านหนึ่งนำโดยสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรยุโรป ขณะที่อีกด้านหนึ่งนำโดยจีนและรัสเซีย โดยการแข่งขันทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างสหรัฐฯ และจีน ยังคงเป็นสถานการณ์ที่ต้องติดตาม โดยเฉพาะกรณีล่าสุดที่จีนได้ยื่นฟ้อง WTO ในกรณีสหรัฐฯ กีดกันไม่ให้จีนเข้าถึงชิปและเซมิคอนดักเตอร์ที่ใช้ผลิตจากสหรัฐฯ ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง สะท้อนให้เห็นถึงความยืดเยื้อของสงครามการค้าที่มีมาตั้งแต่ปี 2561 ในสมัยของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จนมาถึงปัจจุบันที่อาจเรียกได้ว่า “Trade War 2.0” ทั้งนี้ สถานการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดการทวนกลับของกระแสโลกาภิวัตน์ (Deglobalization) ไปสู่การพึ่งพากันในระดับภูมิภาค (Regionalization) และกลุ่มประเทศที่มีความคิดเห็นทางการเมืองคล้ายกัน (Friend Shoring) มากขึ้น ขณะเดียวกัน มาตรการกีดกันทางการค้าและสงครามราคายังคงเป็นประเด็นที่ต้องเฝ้าระวังและจับตาเป็นพิเศษต่อไป  
  “3”…Top 3 Rising Star  
            “3” ตัวสุดท้าย คือ Top 3 Rising Star ของปี 2566 ได้แก่ เวียดนาม อินเดีย และอินโดนีเซีย จากการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและภูมิภาคในปี 2566 พบว่า ตลาดประเทศเกิดใหม่ในเอเชียเป็นตลาดที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวสูงที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดในภูมิภาคอื่น ๆ ซึ่งประเทศที่มีแนวโน้มเติบโตโดดเด่น ได้แก่ เวียดนาม อินเดีย และอินโดนีเซีย โดย IMF คาดการณ์ (ณ เดือนตุลาคม 2565) ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวถึง 6.2% 6.1% และ 5.0% ตามลำดับ โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้  
  เวียดนาม เศรษฐกิจเติบโตโดดเด่นเป็นอันดับต้น ๆ ของเอเชีย จากการมีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตและการค้าระหว่างประเทศที่แข็งแกร่ง  
  อินเดีย เศรษฐกิจมีทิศทางขยายตัวต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้ขยับ Ranking สู่ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก แซงหน้าสหราชอาณาจักร  
  อินโดนีเซีย ได้รับความสนใจจากการปฏิรูปกฎหมายให้เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจและการลงทุนมากขึ้น  
  จากปัจจัยข้างต้น จึงนับเป็นจังหวะที่ดีสำหรับผู้ประกอบการไทยในการขยายโอกาสการค้าการลงทุนไปยังประเทศดังกล่าวภายใต้ภาวะ
เศรษฐกิจประเทศตลาดหลักทั้งสหรัฐฯ ยุโรป และจีนที่มีแนวโน้มชะลอตัว
 
            ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกปีกระต่ายที่มีความไม่แน่นอนสูง ผู้ประกอบการอาจเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมแผนสำรองไว้กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินทางธุรกิจ โดยเฉพาะแหล่งเงินสำรองเพื่อรักษาสภาพคล่องของธุรกิจ ตลอดจนการป้องกันความเสี่ยงอย่างครบวงจรผ่านเครื่องมือต่าง ๆ โดยเฉพาะการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อที่จะไม่ต้องกังวลกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ตลอดจนอาจมีการทบทวนกลยุทธ์ทางธุรกิจอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน
 
  Disclaimer : ข้อมูลต่าง ๆ ที่ปรากฏ เป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น
โดย EXIM BANK จะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด
 
  ที่มาของรูปภาพ : www.flaticon.com  
  หน้าหลัก  I  Share โลกเศรษฐกิจ  I  Data Digest  I  ส่องเทรนด์โลก  I  CEO Talk
แนะนำบริการ  I  สรุปข่าว