 |
|
ภาษีเงินได้นิติบุคคล : คงไว้ที่อัตราเดิม 22% โดยผู้ประกอบการที่จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทภายใต้กฎหมายอินโดนีเซียจะต้องคำนวณ
ภาษีเงินได้นิติบุคคลโดยใช้รายได้จากการประกอบกิจการทั้งในอินโดนีเซียและในต่างประเทศ โดยหากมีการจ่ายภาษีนิติบุคคลส่วนหนึ่ง
ในต่างประเทศแล้ว ผู้ประกอบการสามารถนำมาเครดิตภาษีได้ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด สำหรับกิจการประเภทสำนักงานหรือสาขาของ
บริษัทต่างชาติที่ตั้งในอินโดนีเซีย จะเสียภาษีเฉพาะรายได้ในอินโดนีเซียเท่านั้น นอกจากนี้ ในกรณีของ SMEs ที่มีรายได้ต่ำกว่า 500
ล้านรูเปียะห์ต่อปี สามารถขอยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ |
|
|
 |
 |
|
รัฐบาลอินโดนีเซียปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลลงจาก 25% เป็น 22% ตั้งแต่ปี 2563 ถือเป็นอัตราที่สูงเป็นอันดับ 4 ในอาเซียน โดยฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่เรียกเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุดที่อัตรา 25% ขณะที่ค่าเฉลี่ยอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลของประเทศในอาเซียนอยู่ที่ 22.17% |
|
|
 |
 |
|
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา : กฎหมายฉบับใหม่มีการแบ่งฐานรายได้ของผู้เสียภาษีเงินได้ใหม่ โดยปรับฐานรายได้ของผู้เสียภาษีขั้นแรก (อัตรา 5%) เพิ่มขึ้นเป็นไม่เกิน 60 ล้านรูเปียะห์ต่อปี (ราว 4.2 พันดอลลาร์สหรัฐ) จากเกณฑ์เดิมไม่เกิน 50 ล้านรูเปียะห์ต่อปี (ราว 3.5 พันดอลลาร์สหรัฐ) และเพิ่มเกณฑ์ภาษีใหม่ที่อัตรา 35% สำหรับบุคคลทั่วไปที่มีรายได้มากกว่า 5 พันล้านรูเปียะห์ต่อปี (ราว 3.5 แสนดอลลาร์สหรัฐ) |
|
|
 |
 |
 |
 |
 |
|
ทั้งนี้ ผู้มีถิ่นที่อยู่ในอินโดนีเซีย รวมถึงบุคคลทั่วไปที่พำนักอยู่ในอินโดนีเซียมากกว่า 183 วัน ในระยะเวลา 12 เดือน หรือระยะเวลา
ตามปีภาษี จะต้องรวมรายได้จากทุกแหล่งเงินได้ที่ได้รับทั่วโลกมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขณะที่บุคคลที่มิได้มีถิ่นที่อยู่ใน
อินโดนีเซียหรือชาวต่างชาติจะเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากเงินได้ที่เกิดขึ้นในอินโดนีเซียเท่านั้น โดยการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษี
เงินได้ดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปีภาษี 2565 เป็นต้นไป |
|
|
 |
|
 |
ภาษีคาร์บอน |
|
|
 |
|
อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการปล่อยคาร์บอนมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก รัฐบาลอินโดนีเซียจึงริเริ่มให้มีการจัดเก็บภาษีคาร์บอนเป็นครั้งแรก เพื่อใช้เป็นกลไกควบคุมระดับการปล่อยคาร์บอนภายในประเทศ และปูทางสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำในอนาคต ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าภาษีคาร์บอนถือเป็น Highlight สำคัญของกฎหมายฉบับนี้ โดยมีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้
• ภาษีคาร์บอนจะเรียกเก็บจากบุคคลหรือองค์กรที่มีการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตหรือดำเนินกิจกรรมใด ๆ ที่ก่อให้เกิดการปล่อยคาร์บอนในปริมาณที่สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด โดยจะต้องนำปริมาณคาร์บอนส่วนเกินดังกล่าวมาคำนวณเพื่อเสียภาษี หรือที่เรียกว่าหลักการ Cap-and-Tax
• ภาษีคาร์บอนจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565
• เบื้องต้นจะเรียกเก็บภาษีคาร์บอนกับโรงไฟฟ้าถ่านหิน เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีการปล่อยคาร์บอนในปริมาณมาก |
|
|
 |
 |
 |
|
หมายเหตุ : |
โรงไฟฟ้าถ่านหินที่มีการปล่อยคาร์บอนเกินเกณฑ์ที่กำหนดสามารถซื้อคาร์บอนเครดิตจากโรงไฟฟ้าถ่านหินอื่นที่ปล่อยคาร์บอนต่ำกว่าเกณฑ์ มาชดเชยแทนการจ่ายภาษีคาร์บอนได้ |
|
|
 |
|
• อัตราภาษีคาร์บอนจะอ้างอิงตามราคาซื้อขายคาร์บอนในตลาด แต่ต้องไม่ต่ำกว่า 30 รูเปียะห์ต่อกิโลกรัมของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (kgCO2e)
• รัฐบาลอินโดนีเซียจะพิจารณาขยายขอบเขตการเก็บภาษีคาร์บอนไปยังธุรกิจประเภทอื่นตามความเหมาะสมในอนาคต และจะผลักดันให้เกิดการซื้อขายคาร์บอน (Carbon Trading) อย่างเต็มรูปแบบผ่านตลาดคาร์บอนภายในปี 2568 |
|
|
 |
 |
|
รัฐบาลอินโดนีเซียตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนลง 29% ภายในปี 2573 รวมถึงประกาศคำมั่นสัญญาที่จะลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2603 |
|
|
 |
 |
|
 |
มาตรการนิรโทษกรรมทางภาษี |
|
|
 |
|
Harmonized Tax Law ได้รวมมาตรการนิรโทษกรรมทางภาษีรอบใหม่ (Taxpayer Voluntary Disclosure Program) ซึ่งเปิดโอกาสให้
ผู้ที่หลบเลี่ยงการเสียภาษีด้วยการปกปิดสินทรัพย์ทั้งที่อยู่ในประเทศและต่างประเทศสามารถยื่นแสดงทรัพย์สินดังกล่าวและ
นำกลับมาอยู่ภายใต้ระบบภาษีของอินโดนีเซีย โดยอัตราภาษีที่ต้องจ่ายจะอยู่ที่ 6-18% ขึ้นกับเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งยังคงต่ำกว่า
บทลงโทษหากสินทรัพย์นั้นถูกตรวจพบโดยกรมสรรพากร ทั้งนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียเคยใช้มาตรการนิรโทษกรรมทางภาษีมาแล้วครั้งหนึ่ง
ในช่วงปี 2559-2560 โดยมาตรการในครั้งนั้นสามารถจูงใจให้มีการเปิดเผยทรัพย์สินกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และสร้างรายได้
ภาษีเข้าภาครัฐราว 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ |
|
|
 |