หลายท่านคงเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับพัฒนาการที่โดดเด่นของเศรษฐกิจเวียดนามกันอยู่ไม่น้อย ด้วยเศรษฐกิจที่ “โตไว” กว่า 6%
ต่อปี ตลาดที่ “ใหญ่และไฟแรง” จากประชากรเกือบ 100 ล้านคน และส่วนใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มสาว อีกทั้งแรงงานที่ยัง “คุ้มค่า แถม
คุณภาพดี” ปัจจัยดังกล่าวทำให้เวียดนามก้าวขึ้นมาทาบรัศมีตลาดเกิดใหม่หลายแห่งในการดึงดูดเม็ดเงินการค้าการลงทุนของโลก
อย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ตาม ขอชวนท่านผู้อ่านลองหันมามองเวียดนามในฐานะคู่มิตรชิดใกล้ที่จะสามารถโตไปพร้อมกันกับไทย ซึ่งจากข้อสังเกตตัวเลขเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ พบว่า มีความแน่นแฟ้นและเชื่อมโยงกันในหลายมิติ ดังนี้
• คู่ค้า…ที่เกื้อหนุนกัน การค้าระหว่างไทยกับเวียดนามมีพัฒนาการที่ดีต่อเนื่อง สะท้อนได้จากมูลค่าการค้าที่เพิ่มขึ้นจากเพียง 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2535 มาอยู่ที่ราว 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน หรือขยายตัวเกือบ 20% ต่อปี ทำให้ปัจจุบันเวียดนามกลายเป็นตลาดส่งออกอันดับ 4 และนำเข้าอันดับ 10 ของไทย ทั้ง ๆ ที่เมื่อ 30 ปีก่อนเวียดนามยังเป็นเพียงคู่ค้าที่เล็กกว่าเมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชาด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ ในมิติของสินค้าส่งออกและนำเข้าของทั้งสองประเทศก็ดูจะเกื้อหนุนกันได้ดี อย่างไทยมีน้ำมันดิบไม่เพียงพอ เราก็
นำเข้าจากเวียดนามบางส่วนมากลั่นเป็นน้ำมันสำเร็จรูป รวมถึงผลิตเป็นเคมีภัณฑ์และเม็ดพลาสติกเพื่อส่งออกกลับไปเวียดนาม จนทำให้
สินค้ากลุ่มนี้กลายเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 (สัดส่วนรวมกันถึง 20%) ของไทยไปเวียดนาม ยิ่งไปกว่านั้น สินค้าอีกหลายชนิดของไทย
ก็ยังตอบโจทย์การพัฒนาประเทศของเวียดนามแต่ละช่วงเวลาได้อย่างลงตัว เห็นได้จากในอดีตที่อุตสาหกรรมหลักของเวียดนามยังเป็น
เสื้อผ้าและรองเท้า เราก็ส่งออกผ้าผืนและหนังฟอกไปเป็นวัตถุดิบให้เวียดนามได้ เช่นเดียวกับปัจจุบันเราก็ยังส่งออกอุปกรณ์กึ่งตัวนำ/
ไดโอดทองแดงและชิ้นส่วนรถยนต์ไปสนับสนุนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ที่กลายเป็นเครื่องยนต์ใหม่ในการขับเคลื่อน
เศรษฐกิจเวียดนามได้อีกด้วย
• คู่หูลงทุน…ที่เชื่อมต่อกัน โดยเฉพาะหลังจากเวียดนามปฏิรูปเศรษฐกิจและเปิดประเทศมากขึ้น ทำให้นักลงทุนไทยเข้าไป
ลงทุนในเวียดนามเพิ่มขึ้นถึง 20% ต่อปีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และทำให้เวียดนามกลายเป็นแหล่งลงทุนอันดับ 4 ของไทย ไต่ขึ้นจาก
อันดับ 10 เมื่อ 10 ปีก่อน ไม่เพียงเท่านี้ อุตสาหกรรมที่ไทยเข้าไปลงทุนยังมีความหลากหลายตามบริบททางเศรษฐกิจของเวียดนาม
ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างธุรกิจไทยที่เข้าไปลงทุนในเวียดนาม 3 อันดับแรกในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา คือ การเงิน การผลิตไฟฟ้า ค้าส่งค้าปลีก ซึ่งก็สอดคล้องกับภาคอุตสาหกรรม และการบริโภคของเวียดนามที่ปัจจุบันโตได้อย่างรวดเร็ว จึงต้องการบริการทางการเงิน ไฟฟ้าและ
Marketplace ที่หลากหลายมากขึ้น นอกจากนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าแม้ FDI จะหลั่งไหลเข้าเวียดนามต่อเนื่อง แต่อุตสาหกรรมสนับสนุน
ในเวียดนามอาจยังไม่สามารถรองรับความต้องการทั้งหมดได้เพียงพอ จุดนี้ถือเป็นโอกาสของนักลงทุนไทยในการเข้าไป Plug-In เพื่อ
เชื่อมต่อ Future Supply Chain ในหลายอุตสาหกรรม อาทิ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ พลังงานสะอาด อาหารแห่งอนาคต ซึ่งไทย
มีความเชี่ยวชาญเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
• คู่เที่ยว…ที่ไปไหนไปกัน หลายคนอาจยังไม่ทราบว่าชาวเวียดนามที่เข้ามาเที่ยวไทยในช่วงก่อนเกิด COVID-19 มีจำนวนมากถึง 1.1 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึงเกือบ 2 เท่าตัวจากช่วงวิกฤต Hamburger ปี 2552 ทำให้นักท่องเที่ยวเวียดนามกลายมาเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ Top 10 ของไทย ขณะเดียวกันคนไทยเองก็ไปเที่ยวเวียดนามเพิ่มขึ้นจาก 1 แสนคนเป็นเกือบ 5 แสนคนในช่วงเวลาเดียวกัน ทำให้เวียดนามกลายเป็น Travel Destination อันดับ 7 ของคนไทย สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงโอกาสที่จะใช้การท่องเที่ยวเป็นสะพานเชื่อมโยงการค้าการลงทุน โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคบริการ อาทิ โรงแรม การแพทย์ โลจิสติกส์ ก่อสร้าง หรือแม้แต่ Digital Content ที่จะมีโอกาสเติบโตไปด้วยกันมากขึ้นในอนาคต
จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจไทยและเวียดนามมีความสัมพันธ์ที่เกื้อหนุนและเชื่อมโยงกันในหลายมิติที่จะสามารถพัฒนาต่อยอดเพื่อ
สร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุนได้ในอนาคต ดังนั้น เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสอันดีนี้ ผู้ประกอบการไทยจึงควรรีบเข้าไปยึดหัวหาด
และเชื่อมโยง Ecosystem ระหว่างกันให้ได้ก่อนคู่แข่งในตลาดที่เรียกได้ว่าเป็น Rising Star ของโลกอย่างเวียดนาม |