EXIM BANK เปิดรับสมัครบุคคลดำรงตำแหน่ง “กรรมการผู้จัดการ”
 
 

          คณะกรรมการสรรหากรรมการผู้จัดการ EXIM BANK ประกาศเปิดรับสมัครบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเป็น
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK ตั้งแต่บัดนี้ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2563

          นายพิริยะ เข็มพล กรรมการ EXIM BANK ในฐานะประธานคณะกรรมการสรรหากรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า ตามที่
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา ซึ่งดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2559 เป็นกรรมการผู้จัดการคนที่ 5
นับตั้งแต่ก่อตั้ง EXIM BANK เมื่อปี 2537 มีวาระดำรงตำแหน่ง 4 ปี และจะครบวาระในเดือนพฤษภาคม 2563 EXIM BANK จึงได้
ดำเนินการสรรหากรรมการผู้จัดการคนใหม่ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ
พ.ศ. 2518 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ในการนี้จึงได้ประกาศสรรหาบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK คนใหม่ โดย
ผู้สนใจสามารถยื่นใบสมัครได้ตั้งแต่บัดนี้ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2563

          คุณสมบัติของผู้สมัครต้องเป็นบุคคลผู้มีสัญชาติไทย อายุไม่เกิน 58 ปีบริบูรณ์ในวันที่ยื่นใบสมัคร สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่า
ปริญญาตรีจากสถาบันการศึกษาที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) รับรอง ไม่เป็นผู้มีลักษณะต้องห้าม
ตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม และตามประกาศ
ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สกส.13/2562 โดยมีคุณสมบัติเฉพาะ ประกอบด้วย มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ด้านการเงิน
การธนาคาร การตลาด และเศรษฐกิจระหว่างประเทศเป็นอย่างดี เคยทำงานในสถาบันการเงินไม่น้อยกว่า 10 ปี มีประสบการณ์ในการ
บริหารจัดการองค์กร และเคยดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองผู้บริหารสูงสุดขององค์กรอย่างน้อย 3 ปี โดยองค์กรดังกล่าวต้องมีสินทรัพย์
ไม่น้อยกว่า 50,000 ล้านบาทต่อปี ในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง มีความรู้ความสามารถในการบริหารงานด้านสินเชื่อ สื่อสารภาษาไทย และ
ภาษาอังกฤษได้ดีมาก มีภาวะความเป็นผู้นำสูง มีวิสัยทัศน์ในการบริหารจัดการและการพัฒนาบุคลากร มีความสามารถในการตัดสินสั่งการ
การแก้ไขปัญหา เป็นแบบอย่างที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรม และยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล ทั้งนี้ วาระดำรงตำแหน่งตามสัญญาจ้างคราวละ
ไม่เกิน 4 ปี หรือเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์

          ผู้สนใจติดต่อขอรับใบสมัครได้ที่ ส่วนโครงสร้างและสรรหา ฝ่ายทรัพยากรบุคคล EXIM BANK สำนักงานใหญ่ ชั้น 15 อาคารเอ็กซิม
หรือดาวน์โหลดใบสมัครทางเว็บไซต์ www.exim.go.th และส่งใบสมัครพร้อมเอกสารหลักฐานประกอบการสมัคร ตั้งแต่บัดนี้ถึง 28
กุมภาพันธ์ 2563 ในวันและเวลาทำการ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 0 2271 3700 ต่อ 2003

  EXIM BANK ครบรอบ 26 ปี เคียงข้างธุรกิจส่งออกและการลงทุนระหว่างประเทศของไทย  
  EXIM BANK เร่งขยายบริการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยปรับตัว
รับมือความเสี่ยงการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ ดันภาคการส่งออกไทยโตเป็นบวกปี 63
 
 

       EXIM BANK ชูนโยบายโอกาสครบรอบ 26 ปี ยังคงเคียงข้างธุรกิจส่งออกและลงทุน
ระหว่างประเทศเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยอย่างยั่งยืน โดย
ร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐและเอกชนหาโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจ ควบคู่กับขยายบริการ
ทางการเงิน ข้อมูลข่าวสาร และอบรมบ่มเพาะให้ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยปรับตัวรับ
ความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และสิ่งแวดล้อมได้ โดยเยียวยาผลกระทบระยะสั้น
ควบคู่กับการส่งเสริมการนำเข้าเครื่องจักร เทคโนโลยี เพื่อปรับปรุงสินค้าให้มีมูลค่าเพิ่ม บรรเทา
การแข็งค่าของเงินบาท ผลักดันให้ภาคการส่งออกของไทยไม่หดตัวในปี 2563

       นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK แถลงข่าวแก่สื่อมวลชนในโอกาส EXIM BANK
เปิดดำเนินการครบรอบ 26 ปี ณ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 ว่า ปี 2563
เป็นปีแห่งการปรับสมดุลของโลก เพื่อลด “ความเสี่ยง” ในหลายมิติที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของ
ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย ประกอบด้วย
       1. มิติเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสงครามการค้าที่มีต้นตอมาจากความไม่สมดุลของการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนมาอย่างยาวนาน จนทำให้สหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ขณะที่จีนก็ตอบโต้โดยการ
ปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ยังคงส่งผลกดดันบรรยากาศการค้าของโลกและของไทยในปีนี้
ความผันผวนของค่าเงินที่เกิดขึ้นทั่วโลกซึ่งเกิดจากสภาพคล่องล้นโลกและนโยบายการเงินกลับทิศทาง
และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะน้ำมัน อยู่ในระดับต่ำเกิดจากความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และ
อุปทานน้ำมัน ทำให้ราคาสินค้าหลายชนิดที่เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับราคาน้ำมันทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ
       2. มิติการเมืองและสังคม ความขัดแย้งในหลายประเทศล้วนส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ
กำลังซื้อของประชาชน และเศรษฐกิจโลกโดยรวม
       3. มิติสิ่งแวดล้อม ทั้งภัยธรรมชาติและโรคระบาด ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งการค้า
และการลงทุนที่เชื่อมโยงถึงกันทั่วโลก

       ขณะที่ประเทศไทยซึ่งเศรษฐกิจเป็นระบบเปิด ขนาดเล็ก พึ่งพาตลาดต่างประเทศในสัดส่วนสูง
มีอำนาจต่อรองไม่สูงนัก เผชิญกับภาวะเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่แฝงด้วยความไม่ยั่งยืนจากปัญหา
ความไม่สมดุลเชิงโครงสร้างภาคการค้าระหว่างประเทศ โดยมูลค่าการส่งออกของไทยถูกขับเคลื่อนด้วย
ปริมาณมากกว่าราคา เนื่องจากสินค้าไทยมีมูลค่าเพิ่มไม่สูง ขณะที่ไทยนำเข้าสินค้าเพื่ออุปโภคบริโภค
ในอัตราขยายตัวสูงกว่าการนำเข้าสินค้าเครื่องจักรและเทคโนโลยีเพื่อการลงทุนอยู่มาก กดดันให้เงินบาท
แข็งค่า ผู้ส่งออกไทยจึงมีรายรับในเทอมเงินบาทลดลงและสูญเสียความได้เปรียบในการแข่งขัน
เมื่อเทียบกับคู่แข่งชาติอื่น

       จากความเสี่ยงของโลกในมิติเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม และสิ่งแวดล้อม ประกอบกับปัญหา
เชิงโครงสร้างภาคการค้าระหว่างประเทศของไทย ทำให้ผู้ประกอบการไทยเผชิญความเสี่ยงทางการค้า
และการลงทุนระหว่างประเทศ และความยากลำบากในปี 2563
       ระยะสั้น EXIM BANK สนับสนุนผู้ประกอบการด้วยเครื่องมือทางการเงิน ทั้งสินเชื่อและประกัน
ความเสี่ยงด้านการค้าและการลงทุน และคุ้มครองความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน รวมทั้งโปรแกรม
สินเชื่อพิเศษและมาตรการต่าง ๆ ที่จะช่วยบรรเทาผลกระทบในระยะสั้นให้แก่ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทย
       ระยะยาว EXIM BANK มีบริการทางการเงินที่จะช่วยผู้ประกอบการไทยปรับสมดุลโครงสร้าง
การส่งออกและนำเข้าของไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยสนับสนุนการปรับเปลี่ยน
เครื่องจักรและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าไทย ตลอดจนสนองนโยบายรัฐบาล
ในการสนับสนุนการลงทุนใน EEC และพัฒนาภาคอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรม S-curve
เพื่อสร้างฐานการผลิตด้านนวัตกรรมของประเทศ ควบคู่กับการให้ข้อมูลข่าวสารและจัดโครงการอบรม
บ่มเพาะผู้ประกอบการผ่านศูนย์ความเป็นเลิศด้านการค้า (EXAC)

       ทั้งนี้ เพื่อร่วมผลักดันให้ภาคการส่งออกของไทยในปี 2563 พลิกกลับมาโตเป็นบวกได้ ท่ามกลาง
สถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย

       ด้านผลการดำเนินงานปี 2562 EXIM BANK มีสินเชื่อคงค้าง 121,868 ล้านบาท สูงสุดเป็น
ประวัติการณ์นับตั้งแต่เปิดดำเนินการ โดยเพิ่มขึ้น 13,279 ล้านบาทหรือ 12.23% เมื่อเทียบกับปีก่อน แบ่งเป็นสินเชื่อเพื่อการค้า 38,900 ล้านบาทและสินเชื่อเพื่อการลงทุน 82,968 ล้านบาท ทำให้เกิด
ปริมาณธุรกิจ (Business Turnover) 197,106 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้เป็นปริมาณธุรกิจของ SMEs
เท่ากับ 106,749 ล้านบาท คิดเป็น 54.16% โดยสินเชื่อคงค้าง SMEs เท่ากับ 43,123 ล้านบาท ส่งผลให้
ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2562 EXIM BANK มีกำไรสุทธิ 507 ล้านบาท มีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs
Ratio) อยู่ที่ 4.60% โดยมีสินเชื่อด้อยคุณภาพจำนวน 5,606 ล้านบาท และมีเงินสำรองหนี้สงสัยจะสูญ
จำนวน 11,171 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,787 ล้านบาทเมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นสำรองหนี้พึงกันตามเกณฑ์
ธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 7,804 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินสำรองที่กันไว้แล้วต่อสำรองพึงกัน
143.15% ทำให้ EXIM BANK ยังคงดำรงฐานะการเงินที่มั่นคง

       สำหรับผลการดำเนินงานด้านประกันการส่งออกและการลงทุนของ EXIM BANK ในปี 2562
มีปริมาณธุรกิจสะสมเท่ากับ 121,372 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28,924 ล้านบาทเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเป็น
ปริมาณธุรกิจของ SMEs จำนวน 22,592 ล้านบาท หรือ 18.61% ของปริมาณธุรกิจสะสมรวม

       ขณะเดียวกัน การสนับสนุนผู้ประกอบการไทยขยายฐานการค้าและการลงทุนไปยังต่างประเทศ
ในปี 2562 EXIM BANK มีวงเงินที่ให้การสนับสนุนแก่สินเชื่อโครงการระหว่างประเทศรวมทั้งสิ้น
92,367 ล้านบาท โดยเป็นสินเชื่อคงค้างจำนวน 47,454 ล้านบาท รวมทั้งสนับสนุนผู้ประกอบการไทย
ขยายฐานการค้าและการลงทุนไปยังกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
และยังคงเป็นประเทศเป้าหมายหลักของการขยายธุรกิจของผู้ประกอบการไทย ณ ปี 2562 มีสินเชื่อ
คงค้างจำนวน 30,774 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,333 ล้านบาทเมื่อเทียบกับปีก่อน ทั้งนี้ สำนักงานผู้แทน
ในย่างกุ้ง เวียงจันทน์ และพนมเปญได้เปิดดำเนินงานและทำงานร่วมกับทีมไทยแลนด์นำโดย
เอกอัครราชทูตไทยในต่างประเทศแล้ว และอยู่ระหว่างเตรียมการเปิดสำนักงานผู้แทน EXIM BANK
ในเวียดนามต่อไป

       “ท่ามกลางความไม่สมดุลและความเสี่ยงในมิติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและส่งผลกระทบทั่วโลกอย่าง
หลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่ผู้ประกอบการไทยต้องทำคือ รับมือให้ทันและไม่หยุดรุกตลาดการค้าและการลงทุน
ระหว่างประเทศ โดยมี EXIM BANK อยู่เคียงข้างและคอยสนับสนุนให้ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทย
ดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างมั่นคงและไม่สะดุด ขณะเดียวกันผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยต้องวางแผน
ระยะยาวที่จะแข่งขันให้ได้ในเชิงคุณภาพ โดยใช้โอกาสในภาวะเงินบาทแข็งค่านี้ลงทุนด้านนวัตกรรมและ
เทคโนโลยี โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม S-curve และพื้นที่ EEC ที่รัฐบาลให้การส่งเสริมเป็นพิเศษ เพื่อ
เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยอย่างยั่งยืนในตลาดโลกยุคดิจิทัลนี้” นายพิศิษฐ์กล่าว

 
  EXIM BANK จัดพิธีทำบุญตักบาตร โอกาสเปิดดำเนินการครบรอบ 26 ป  
         นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK พร้อมด้วยผู้บริหารและพนักงาน EXIM BANK
จัดพิธีทำบุญเลี้ยงพระในโอกาสที่ EXIM BANK เปิดดำเนินงานครบรอบ 26 ปีอย่างเป็นทางการ ในวันที่
17 กุมภาพันธ์ 2563 โดยถวายภัตตาหารเช้าและทำบุญตักบาตรข้าวสาร อาหารแห้ง ซึ่งส่วนหนึ่งจะนำไป
มอบให้เด็กด้อยโอกาส มูลนิธิกลุ่มแสงเทียน (วัดบางไส้ไก่) ณ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ เมื่อเร็ว ๆ นี้
 
  EXIM BANK ลดดอกเบี้ยลูกค้าทั่วไปและ SMEs เหลือ 5.985% ต่ำสุดในระบบ SFIs
พร้อมเสนอโปรแกรมสินเชื่อพิเศษกระตุ้นเศรษฐกิจ
 
 

          EXIM BANK ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate สำหรับลูกค้าทั่วไปและ SMEs (เทียบเท่า MRR ของ
ธนาคารพาณิชย์) จากเดิมที่อยู่ในระดับต่ำสุดในระบบ SFIs อยู่แล้ว เหลือเพียง 5.985% ต่อปี มีผลตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์
2563 เป็นต้นไป พร้อมเสนอโปรแกรมสินเชื่อพิเศษช่วยสนับสนุนให้มีเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการในการดำเนินธุรกิจ
หรือนำเข้าเครื่องจักร เทคโนโลยีการผลิต เพื่อขยายกำลังการผลิตหรือปรับปรุงโรงงาน ในอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพียง
2% ต่อปี

          นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า ปัจจุบัน EXIM BANK มีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ Prime Rate
สำหรับลูกค้าทั่วไปและ SMEs (เทียบเท่า MRR ของธนาคารพาณิชย์) อยู่ที่ 6.00% ต่อปี ซึ่งต่ำที่สุดในระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
ของรัฐ (SFIs) เนื่องจาก EXIM BANK นำร่องลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อช่วยลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจการค้าระหว่างประเทศให้แก่
ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 อย่างไรก็ตาม เพื่อขานรับนโยบายรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
และตอบสนองทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีจำนวนมากและเป็นกำลังสำคัญในการ
ขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย EXIM BANK ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate เหลือ 5.985% ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่
11 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นต้นไป

          นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า ภายใต้ภาวะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงมาอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ ประกอบกับเงินบาท
ที่แข็งค่าต่อเนื่องมาอยู่ในระดับ 30-31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแข็งค่าขึ้นถึงราว 15% เมื่อเทียบกับปี 2559 ที่เงินบาทเคยอยู่ที่ราว
36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จึงถือเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับผู้ประกอบการไทยในการนำเข้าเครื่องจักรและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อพัฒนา
ศักยภาพการผลิต อันจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในระยะยาว EXIM BANK จึงได้พัฒนาบริการ
หลากหลายรูปแบบเพื่อกระตุ้นการนำเข้าและการลงทุน ควบคู่กับมาตรการเสริมสภาพคล่องเพื่อกระตุ้นการส่งออก โดยสอดคล้องกับ
ทิศทางเศรษฐกิจของไทยและตลาดโลก ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษต่ำกว่า Prime Rate สำหรับผู้ประกอบการทุกกลุ่มอุตสาหกรรมและ
ทุกขนาด ดังนี้

          มาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เป็นสินเชื่อระยะยาวเพื่อให้ผู้ประกอบการทุกกลุ่ม
อุตสาหกรรมใช้ซื้อหรือปรับปรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์ หรือต่อเติมปรับปรุงโรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและเพิ่มมูลค่าสินค้า
ส่งออก อัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก 2% ต่อปี

          มาตรการ EXIM เสริมสภาพคล่องผู้ส่งออก เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นผู้ส่งออก ผู้นำเข้าเพื่อผู้ผลิตในการส่งออก
และผู้ผลิตเพื่อผู้ส่งออก สามารถเลือกใช้วงเงินกู้ระยะยาวหรือวงเงินกู้ระยะสั้น สำหรับนำไปลดภาระการชำระหนี้และเพิ่มสภาพคล่องกิจการ
ให้มีเงินทุนหมุนเวียนสำหรับดำเนินธุรกิจส่งออก หรือปรับปรุงเครื่องจักร โรงงาน เทคโนโลยีการผลิต เป็นต้น อัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก
3.99% ต่อปี

          สินเชื่อส่งออกเพิ่มสุข อัตราดอกเบี้ยปีแรก 5.50% ต่อปี สำหรับผู้ประกอบการที่เพิ่งเริ่มต้นส่งออก

          สินเชื่อส่งออกเพิ่มค่า อัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก Prime Rate -1.25% ต่อปี สำหรับกลุ่ม SMEs โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม
การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และกลุ่มอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร

          สินเชื่อเอ็กซิมเชื่อม SMEs ไทยสู่ CLMV สำหรับผู้ส่งออก SMEs ไปตลาด CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) อัตราดอกเบี้ย Prime Rate -1.75% ตลอดอายุโครงการ

          สินเชื่อเอ็กซิมเพื่อธุรกิจขนาดกลาง สินเชื่อรับซื้อตั๋วเพื่อธุรกิจขนาดกลาง และสินเชื่อเอ็กซิมเพื่อโซนพิเศษ อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ Prime Rate -2.00% สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดใหญ่

          นอกจากนี้ EXIM BANK ยังมีบริการหลากหลายรูปแบบเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการไทยในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน
และแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า อาทิ มาตรการพักชำระหนี้ ลดภาระผู้ส่งออก สู้ภัยไวรัสโคโรนา พักชำระหนี้เงินต้นและ
ดอกเบี้ย 6 เดือน ลดภาระลูกค้าที่มีวงเงินสินเชื่อระยะยาวและระยะสั้นที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
2019 พร้อมขยายความคุ้มครองผู้ส่งออกที่มีการส่งออกแล้วหรืออยู่ระหว่างเตรียมส่งออกไปจีน สินเชื่อเพื่อวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม
และบริการประกันการส่งออกสำหรับผู้ส่งออกทั่วไปและผู้ส่งออก SMEs ซึ่งมีขั้นตอนการขอรับบริการที่สะดวกรวดเร็วขึ้น เป็นต้น

          “EXIM BANK เชื่อมั่นว่า ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตต่อไปได้ตามความ
คาดหวังของทุกฝ่าย ท่ามกลางปัจจัยท้าทายรอบด้านที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย โดยธนาคารจะทำหน้าที่
สนับสนุนเครื่องมือทางการเงินให้ผู้ประกอบการไทยทุกกลุ่มอุตสาหกรรมมีสภาพคล่อง ลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจในระยะสั้น ควบคู่กับ
การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในตลาดการค้ายุคใหม่ในระยะยาว” นายพิศิษฐ์กล่าว

  EXIM BANK ออกมาตรการพักชำระหนี้ ลดภาระผู้ส่งออก สู้ภัยไวรัสโคโรนา
พร้อมเพิ่มสิทธิประโยชน์พิเศษสำหรับบริการประกันการส่งออกแก่ผู้ส่งออกไปตลาดจีน
 
 

          EXIM BANK พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือน ลดภาระลูกค้าที่มีวงเงินสินเชื่อระยะยาวและระยะสั้นที่ได้รับ
ผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 พร้อมขยายความคุ้มครองผู้ส่งออกที่มีการส่งออกแล้วหรือ
อยู่ระหว่างเตรียมส่งออกไปจีน ทั้งผู้ส่งออกที่มีกรมธรรม์ประกันการส่งออกอยู่แล้วและผู้สนใจจะใช้บริการประกันการส่งออก
เพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ขณะที่ไทยกำลังเข้าช่วงผลไม้ออกสู่ตลาดมาก อาทิ ทุเรียน มังคุด ลำไย ลิ้นจี่ ในระยะ
3-6 เดือนข้างหน้า

          นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การระบาดของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส
โคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ในสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ขยายวงกว้าง ส่งผลให้รัฐบาลจีนจำเป็นต้องออกมาตรการเข้มงวดเพื่อจำกัด
และยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โดยการจำกัดการเดินทางและระบบขนส่งมวลชนในหลายเมืองของจีน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อ
ภาคการส่งออกและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก อาทิ โลจิสติกส์ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ EXIM BANK จึงออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้า
ทั้งด้านสินเชื่อและด้านรับประกันการส่งออก เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและอาจเกิดขึ้นในระยะ 6 เดือนข้างหน้า

          มาตรการสนับสนุนด้านสินเชื่อ ลูกค้าสินเชื่อทั้งระยะยาวและระยะสั้นสามารถขอพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยได้สูงสุด 6 เดือน
รวมทั้งขยายระยะเวลาให้ต่ออายุตั๋วสัญญาใช้เงินเกินเทอมที่ธนาคารอนุมัติ รวมกับอายุตั๋วเดิมแล้วไม่เกิน 360 วัน กรณีลูกค้าที่มีการ
ค้ำประกันสินเชื่อโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) PGS ระยะที่ 5-7 สามารถขอขยายระยะเวลาผ่อนชำระเงินกู้
ออกไปได้อีกสูงสุด 5 ปี โดยไม่คิดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. ในส่วนที่ขยายออกไป 5 ปี นับจากวันที่หมดระยะเวลา
การค้ำประกันที่มีกับโครงการเดิม ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบสามารถขอรับบริการภายใต้มาตรการสนับสนุนด้านสินเชื่อได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึง
31 ธันวาคม 2563

          มาตรการสนับสนุนด้านรับประกันการส่งออก สำหรับลูกค้าประกันการส่งออกของ EXIM BANK ที่มีการส่งออกไปแล้ว หรือ
ได้รับคำสั่งซื้อแล้วและกำลังเตรียมการส่งออก ประกอบด้วย
          1. การขยายระยะเวลาการชำระเงินที่ EXIM BANK ให้ความคุ้มครองสูงสุดรวมกันไม่เกิน 270 วัน (กรณีไม่เกิน 180 วัน ไม่ต้อง
เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)
          2. การเพิ่มความคุ้มครองให้กับสินค้าที่เน่าเสียง่ายจากการที่ผู้ซื้อในจีนไม่รับมอบสินค้าเป็นกรณีพิเศษ ในอัตรา 50% ของมูลค่า
ใบกำกับสินค้า
          3. การลดระยะเวลาการพิจารณาค่าสินไหมทดแทน โดย EXIM BANK จะชดเชยให้ทันที โดยไม่ต้องขายหรือทำลายสินค้าก่อน
ลูกค้าและผู้ส่งออกที่สนใจขอรับบริการภายใต้มาตรการสนับสนุนด้านรับประกันการส่งออกได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึง 31 กรกฎาคม 2563

          ทั้งนี้ จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 2 ของไทยในปี 2562 คิดเป็นสัดส่วน 12% ของมูลค่าส่งออกรวม โดยสินค้าส่งออกสำคัญ
ของไทยไปจีนที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ ได้แก่ ผลไม้สด แช่เย็นแช่แข็ง และแห้ง ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ข้าว ชิ้นส่วน
รถยนต์ รวมถึงวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้า เช่น เม็ดพลาสติก และยางพารา

  EXIM BANK ออกมาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เงินกู้ระยะยาว 7 ปี
อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2% ต่อปี วงเงินสูงสุด 100 ล้านบาทต่อราย
 
 

          EXIM BANK ออกมาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2 ปีแรกเพียง 2%
เป็นเงินกู้ระยะยาว 7 ปี วงเงินสูงสุด 100 ล้านบาทต่อราย เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการทุกกลุ่มอุตสาหกรรมซื้อหรือปรับปรุง
เครื่องจักรและอุปกรณ์ หรือต่อเติมปรับปรุงโรงงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและเพิ่มมูลค่าสินค้าส่งออกของไทยให้
แข่งขันได้ในตลาดการค้าโลกยุคใหม่

          นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า จากสถานการณ์เงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย
ในปี 2562 เงินบาทแข็งค่าราว 7% ขณะที่มูลค่าส่งออกในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาขยายตัวเฉลี่ย 1.8% ลดลงอย่างมากจากที่เคยขยายตัวสูง ประกอบกับเศรษฐกิจไทยเริ่มมีแนวโน้มชะลอตัว นโยบายของรัฐบาลจึงมุ่งเน้นการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของ
ผู้ประกอบการไทยในตลาดโลก EXIM BANK จึงร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ออก “มาตรการสินเชื่อเพื่อ
การลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต”
เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยใช้ประโยชน์จากสภาวะเงินบาทแข็งค่า ปรับเปลี่ยน
เครื่องจักรและอุปกรณ์ รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต โดยนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ในต้นทุนที่ต่ำลง นำไปสู่การ
พัฒนาสินค้าให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น แข่งขันได้ในตลาดการค้าโลกยุคใหม่ ตอบสนองนโยบายการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมไทยไปสู่
Industry 4.0 ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

          มาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เป็นสินเชื่อระยะยาวสำหรับผู้ประกอบการทุกกลุ่มอุตสาหกรรม
วงเงินสูงสุด 100 ล้านบาทต่อราย ดอกเบี้ยอัตราพิเศษ 2% ต่อปีในปีที่ 1-2 ส่วนปีที่ 3-5 อยู่ที่ Prime Rate -2.00% และปีที่ 6-7 อยู่ที่
Prime Rate (Prime Rate ณ 31 มกราคม 2563 เท่ากับ 6.00%) ระยะเวลาชำระคืนสูงสุด 7 ปี รวมระยะเวลาปลอดชำระเงินต้น 1 ปี สามารถใช้หนังสือค้ำประกันของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นหลักประกันร่วมกับบุคคลค้ำประกันได้ ฟรี! ค่าธรรมเนียมค้ำประกัน บสย. 4 ปี และฟรี! ค่าธรรมเนียมการใช้สินเชื่อ (Front-end Fee) แถมวงเงิน Forward Contract 1 เท่าของ
วงเงินสินเชื่อ ระยะเวลาให้บริการตั้งแต่บัดนี้ถึง 31 ธันวาคม 2563 วงเงินเป้าหมายของมาตรการอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท คาดว่า จะสร้าง
เม็ดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 22,000 ล้านบาท

          “EXIM BANK พร้อมอยู่เคียงข้างภาครัฐและเอกชน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่องในสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แม้ในภาวะเงินบาทแข็งค่า ผู้ประกอบการไทยสามารถปิดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนได้ด้วยบริการ
ของ EXIM BANK รวมทั้งใช้โอกาสนี้นำเข้าเครื่องจักรและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต เพื่อ
เพิ่มมูลค่าของสินค้าไทยให้แข่งขันได้ในด้านคุณภาพหรือนวัตกรรมในทุกตลาดทั่วโลก” นายพิศิษฐ์กล่าว

  พบปะหารือ และเซ็นสัญญา  
  EXIM BANK จับมือ NEXI คุ้มครองความเสี่ยงธุรกิจส่งออกและโครงการลงทุนของไทยและญี่ปุ่น
ผลักดันการค้าการลงทุนและการร่วมทุนไทย-ญี่ปุ่นเพื่อสร้างนวัตกรรมสินค้าและบริการ รุกตลาด
CLMV และพื้นที่ EEC ของไทยอย่างมั่นใจ
 
 

       นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK ลงนามกับนายอัตสึโอะ คุโรดะ ประธาน
และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร องค์กรรับประกันแห่งประเทศญี่ปุ่น (Nippon Export and Investment
Insurance : NEXI) ในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการรับประกัน (Insurance) โดยมีนายนะชิดะ
คะสุยะ เอกอัครราชทูตประเทศญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และนายพิริยะ เข็มพล กรรมการ EXIM BANK
เป็นสักขีพยานกิตติมศักดิ์ในพิธีลงนาม เพื่อใช้บริการประกันการส่งออกและการลงทุนของ EXIM BANK
เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงของผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยและญี่ปุ่น โดยเฉพาะในตลาด CLMV
และพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ของไทย ณ โรงแรม
แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563

       กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า ความร่วมมือระหว่าง EXIM BANK กับ NEXI ครอบคลุม
การแลกเปลี่ยนข้อมูลและการให้บริการทางการเงินในรูปแบบการรับประกันและการรับประกันต่อ
เพื่อคุ้มครองความเสี่ยงให้ผู้ประกอบการไทยและญี่ปุ่นมั่นใจที่จะขยายการส่งออกและโครงการลงทุน
เพิ่มมากขึ้น ทั้งในไทย ญี่ปุ่น และประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก อันจะนำไปสู่การยกระดับขีดความสามารถในการ
แข่งขันของผู้ประกอบการไทยผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคโนโลยีการผลิตใหม่ ๆ ของญี่ปุ่น การเรียนรู้
วัฒนธรรมองค์กรธุรกิจของญี่ปุ่น การพัฒนาทักษะแรงงาน โดยเฉพาะ SMEs และโอกาสใหม่ ๆ ทาง
การตลาด อาทิ การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในญี่ปุ่น ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและ
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและญี่ปุ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยบริการประกันการส่งออกและประกัน
ความเสี่ยงด้านการลงทุนภายใต้ความร่วมมือระหว่างทั้งสองหน่วยงานนี้จะช่วยให้การค้าและการลงทุน
ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องกังวลความเสี่ยงจากผู้ซื้อ ประเทศผู้ซื้อ หรือ
ประเทศเป้าหมายที่เข้าไปลงทุน นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายยิ่งขึ้น
เนื่องจากผู้ประกอบการที่ใช้บริการประกันการส่งออกและประกันความเสี่ยงการลงทุนของ EXIM BANK
สามารถโอนสิทธิในกรมธรรม์ประกันการส่งออกและการลงทุนเป็นหลักประกันในการขอรับสินเชื่อจาก
ธนาคารพาณิชย์ได้

       ยิ่งไปกว่านั้น EXIM BANK และ NEXI ยังมีความร่วมมือด้านการรับประกันต่อระหว่างกัน ช่วยสนับสนุน
การทำหน้าที่ธนาคารเพื่อการพัฒนาการส่งออกและการลงทุนของ EXIM BANK ได้เป็นอย่างดี ทำให้
EXIM BANK สามารถรับความเสี่ยงในการทำธุรกิจรับประกันได้มากขึ้น ขยายขอบเขตการให้บริการแก่
ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยและญี่ปุ่นได้มากขึ้นกว่าเดิม โดยมี NEXI ร่วมรับความเสี่ยงในการสนับสนุน
ธุรกรรมการส่งออกและการลงทุน

       “EXIM BANK ขยายความร่วมมือกับ NEXI ในครั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ประกอบการไทย
และผู้ประกอบการญี่ปุ่นซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่ของไทย ในการขยายการค้าและการลงทุนระหว่างกัน เพื่อยกระดับศักยภาพและเทคโนโลยีการผลิตในภาคอุตสาหกรรมของไทย กระตุ้นการพัฒนาสินค้าและ
บริการที่มีนวัตกรรม ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและภาคธุรกิจในไทยและขยายไปยังตลาด CLMV
ที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของภูมิภาค
และโลกโดยรวม” นายพิศิษฐ์กล่าว

 
  EXIM BANK และ SME D Bank ของไทย จับมือ Malaysia EXIM Bank และ
SME Bank Malaysia ส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบธุรกิจไทย-มาเลเซียสู่ตลาดโลก
 
         นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK ลงนามบันทึกข้อตกลง “ความร่วมมือในการ
ส่งเสริมศักยภาพและสนับสนุนผู้ประกอบการไทย-มาเลเซีย” ร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลาง
และขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งมาเลเซีย (Malaysia EXIM Bank) และธนาคารวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งมาเลเซีย (SME Bank Malaysia) เพื่อ
ส่งเสริมศักยภาพและสนับสนุนผู้ประกอบการไทย-มาเลเซียในทุกระดับ โดยทั้ง 4 หน่วยงานจะร่วมกัน
บูรณาการข้อมูลการค้าและการลงทุน การจัดอบรมความรู้ในการดำเนินธุรกิจ และการจับคู่ธุรกิจเพื่อขยาย
โอกาสให้ผู้ประกอบการไทยขยายการส่งออกได้มากขึ้น โดยมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และ
ดาตุก์ วีรา ดร.โมฮาหมัด ฮัตตา รามลี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการพัฒนาผู้ประกอบการและสหกรณ์
ประเทศมาเลเซีย ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ โรงแรมอิมพีเรียล จังหวัดนราธิวาส เมื่อเร็ว ๆ นี้
 
  EXIM BANK พบปะหารือกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐโมซัมบิกประจำประเทศไทย
ส่งเสริมการค้าการลงทุนไทย-โมซัมบิก
 
         นายพิริยะ เข็มพล กรรมการ EXIM BANK พร้อมด้วยผู้บริหาร EXIM BANK ให้การต้อนรับและ
พบปะหารือกับนายวิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์ กงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐโมซัมบิกประจำประเทศไทย และ
นายต่อศักดิ์ โชติมงคล นายกสมาคมการค้าไทย-โมซัมบิก เกี่ยวกับแนวทางส่งเสริมและสนับสนุน
การค้าการลงทุนระหว่างไทย-โมซัมบิก ณ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ เมื่อเร็ว ๆ นี้
 
  EXIM BANK ส่งเสริมผู้ประกอบการเมียนมานำเข้าสินค้าไทย  
         นางสาวดรัสวันต์ ชูวงษ์ ผู้ช่วยกรรมการ EXIM BANK และนายก๊อดฟรี สเวน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
ธนาคารประชาชนเมียนมา (Myanmar Citizens Bank: MCB) ร่วมลงนามในสัญญาสนับสนุนทางการเงิน
ของ EXIM BANK เพื่อให้ MCB นำไปใช้สนับสนุนธุรกิจของผู้ประกอบการเมียนมาที่ต้องการนำเข้าสินค้า
จากประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการค้าไทย-เมียนมาให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ณ MCB สำนักงานใหญ่ กรุงย่างกุ้ง
เมียนมา เมื่อเร็ว ๆ นี้
 
         นางสาวดรัสวันต์ ชูวงษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK และ ดร.ลา ตาว ผู้จัดการทั่วไป
ธนาคารชเว (Shwe Bank) ร่วมลงนามในสัญญาสนับสนุนทางการเงินของ EXIM BANK สำหรับให้
ธนาคารชเวนำไปใช้สนับสนุนธุรกิจของผู้ประกอบการเมียนมาที่ต้องการนำเข้าสินค้าจากประเทศไทย
เพื่อส่งเสริมให้การค้าไทย-เมียนมามีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น โดยมี ดร.เตง ซอ รองประธานบริหาร ธนาคารชเว
เป็นสักขีพยาน ณ ธนาคารชเว สำนักงานใหญ่ ย่างกุ้ง เมียนมา เมื่อเร็ว ๆ นี้
 
  EXIM BANK จัดโครงการเสริมความเป็นเลิศให้ผู้ประกอบการไทยเริ่มต้นส่งออกได้  
            นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดงานสัมมนา“โครงการเสริมความเป็นเลิศด้านการค้าเพื่อผู้ประกอบการ
ส่งออก” หลักสูตรระดับต้น (Neo Exporter) รุ่น 2 จัดโดยศูนย์ความเป็นเลิศด้านการค้าของ EXIM BANK (EXIM Excellence Academy :
EXAC) เพื่อเสริมสร้างความรู้ด้านการสร้างมาตรฐานสินค้าและบรรจุภัณฑ์ รวมทั้งการพัฒนาแผนธุรกิจเพื่อการส่งออก เพื่อเพิ่มศักยภาพ
ของผู้ประกอบการไทยในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูป ให้สามารถเริ่มต้นส่งออกได้
ณ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ เมื่อเร็ว ๆ นี้
 
  EXIM BANK มอบทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือเด็กและเยาวชนผ่านมูลนิธิฟอร์เด็ก  
            ดร.น้องนุช เหล่ามณีรัตนาภรณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK นำผู้บริหารและพนักงาน EXIM BANK เข้าร่วมกิจกรรม CSR
และมอบเงินบริจาคในโอกาสที่มูลนิธิเพื่อการฟื้นฟูพัฒนาเด็กและครอบครัว (ฟอร์เด็ก) ก้าวเข้าสู่ปีที่ 23 ณ สถานรับเลี้ยงเด็ก ศูนย์พัฒนา
เด็กเล็กชุมชนวัดมหาวงษ์ มูลนิธิฟอร์เด็ก 6 จังหวัดสมุทรปราการ โดย EXIM BANK มอบเงินบริจาคให้แก่ ดร.อัมพร วัฒนวงศ์ ผู้ก่อตั้งและ
ประธานกรรมการมูลนิธิฟอร์เด็ก เป็นทุนการศึกษาระดับอาชีวศึกษาให้แก่เยาวชน จำนวน 5 ทุน และเงินบริจาคในนาม EXIM BANK และ
พนักงาน สนับสนุนค่าอาหารและการศึกษาให้แก่เด็กด้อยโอกาสและครอบครัวผู้ยากไร้ รวมเป็นเงิน 277,300 บาท เพื่อเสริมสร้างความรู้
และโอกาสในการประกอบอาชีพอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมของเด็กและเยาวชนในอนาคตข้างหน้า
  EXIM BANK แต่งตั้งผู้อำนวยการฝ่ายบริหารหนี้  
            EXIM BANK แต่งตั้งนางสาววีระวรรณ นีละคุปต์ เป็นผู้อำนวยการฝ่ายบริหารหนี้ ทั้งนี้
มีผลตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นต้นไป

          EXIM BANK แต่งตั้งนางสาววีระวรรณ นีละคุปต์ เป็นผู้อำนวยการฝ่ายบริหารหนี้ ดูแลงานบริหารหนี้
และทรัพย์สินของธนาคาร รวมถึงการประเมินราคาทรัพย์สิน การติดตามเร่งรัดและแก้ไขรายการหนี้ที่มีปัญหา
และการดูแลระบบข้อมูลลูกค้า เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการบริหารงานของธนาคารและนำเสนอต่อสาธารณชน
และหน่วยงานภายนอก มีผลตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นต้นไป

          นางสาววีระวรรณจบการศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการการลงทุน มหาวิทยาลัยซิตี้ สหราชอาณาจักร
และปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจ สาขาการเงิน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เคยเป็นผู้จัดการกลุ่มนโยบายและ
งบประมาณ และต่อมาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์และการลงทุน บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด
(มหาชน) ตามลำดับ ก่อนจะเข้าร่วมงานกับ EXIM BANK
  หน้าหลัก   I   Share โลกเศรษฐกิจ   I   เปิดประตูสู่ตลาดใหม่   I   ส่องเทรนด์โลก
เกร็ดการเงินระหว่างประเทศ   I   แวดวงคู่ค้า   I   แนะนำบริการ   I   สรุปข่าว