ชั่วโมงนี้ประเด็นร้อนที่จะไม่พูดถึงคงไม่ได้คือ เงินบาทที่ล่าสุดแข็งค่าอย่างรวดเร็วจนลงมาแตะ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หรือ
แข็งค่าที่สุดในรอบกว่า 5 ปี ส่งผลให้เงินบาทกลายเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่แข็งค่าที่สุดในโลกหากนับตั้งแต่ต้นปี 2561 เป็นต้นมา สิ่งที่
เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากสภาวะที่เรียกว่า “อ่อนนอก แข็งใน” โดยสภาวะอ่อนนอก ที่กำลังพูดถึงก็คือ เศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอลงจาก
ปัจจัยเสี่ยงที่เร่งตัวขึ้น ทั้งสงครามการค้าที่เริ่มส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการค้าการลงทุนโลก การชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ
Fed หลังเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลกอย่างสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอลง ความไม่แน่นอนทางการเมืองในหลายประเทศ อาทิ BREXIT
การประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติในสหรัฐฯ จากผลพวงความขัดแย้งเรื่องงบประมาณสร้างกำแพงกั้นสหรัฐฯ กับเม็กซิโก เหตุการณ์
ประท้วงในฝรั่งเศสและเวเนซุเอลา เป็นต้น ทำให้ล่าสุด IMF ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2562 เหลือขยายตัว 3.5% ต่ำสุด
ในรอบ 3 ปี

          ขณะที่อีกด้านหนึ่งคือสภาวะแข็งใน ซึ่งในที่นี้หมายถึงเศรษฐกิจไทย การที่พูดแบบนี้อาจมีคำถามว่าเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง
จนเป็นสาเหตุหลักให้เงินทุนไหลเข้าและเงินบาทแข็งค่าจริงหรือ ทั้งๆ ที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังรู้สึกว่าเงินในกระเป๋าไม่ได้เพิ่มขึ้นเท่าใดนัก
ซึ่งคงไม่แปลกที่จะมีบางส่วนคิดแบบนั้น เพราะการแข็งค่าหรืออ่อนค่าของเงินบาทขึ้นอยู่กับภาคเศรษฐกิจต่างประเทศเป็นหลัก ทั้งนี้
การจะตอบคำถามข้างต้นได้อาจต้องพิจารณาจากสาเหตุที่ทำให้ราคาของเงินบาทเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นั่นก็คืออุปสงค์หรือความต้องการ
เงินบาท ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้

          อุปสงค์เงินบาทแท้จริง คือ ความต้องการเงินบาทที่เกิดจากกิจกรรมที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อภาคเศรษฐกิจจริง ได้แก่
การแลกเงินตราต่างประเทศของผู้ส่งออกไทย เงินที่นักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาตินำมาแลกเป็นเงินบาทเพื่อนำมาลงทุนและ
ใช้จ่ายในไทย แม้เงินทุนไหลเข้าในส่วนนี้ช่วยให้เศรษฐกิจไทยบางภาคส่วนแข็งแกร่งขึ้น สะท้อนได้จากดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลกว่า 7% ต่อ GDP แต่เงินส่วนนี้อาจตกไปไม่ถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศเท่าใดนัก ทำให้บางส่วนยังรู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยไม่ได้ดีนัก ซึ่งจริงๆ แล้ว ณ เวลานี้อาจต้องใช้คำว่า เศรษฐกิจไทยยืดหยุ่นมากกว่าแข็งแกร่ง โดยเฉพาะด้านต่างประเทศที่การส่งออกสินค้าของเรา
แม้ถูกกระทบจากสงครามการค้าเช่นเดียวกับประเทศอื่น แต่เราก็ยังมีการท่องเที่ยวและการลงทุนจากต่างประเทศที่ขยายตัวโดดเด่น
เข้ามาช่วยประคับประคองได้ดี

          อุปสงค์เงินบาทเทียม ที่เกิดจากเงินทุนที่เข้ามาเก็งกำไรในตลาดการเงิน ซึ่งเงินทุนเหล่านี้ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อ
ภาคเศรษฐกิจจริงเท่าใดนัก แต่เข้ามาหากำไรระยะสั้นหรือพักเงิน เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพด้านต่างประเทศที่แข็งแกร่ง
สะท้อนได้จากเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงเป็นอันดับ 12 ของโลก หนี้ต่างประเทศต่อ GDP
ต่ำไม่ถึง 30% และอัตราเงินเฟ้อต่ำราว 1% ปัจจัยเหล่านี้ทำให้นักลงทุนในตลาดการเงินเชื่อมั่นและทำให้เงินบาทกลายเป็นแหล่งพักเงิน
สำคัญของภูมิภาค แม้ว่าอัตราผลตอบแทนหรืออัตราดอกเบี้ยของไทยอยู่ต่ำกว่าหลายประเทศ แต่เงินทุนเคลื่อนย้ายที่ไหลเข้ามา
ในลักษณะนี้อาจหวังผลในแง่การรักษามูลค่าของเงินลงทุนมากกว่าจะหาผลตอบแทนในระยะสั้น

          สรุปได้ว่า เงินบาทที่แข็งค่าในช่วงที่ผ่านมาเป็นผลโดยตรงจากการที่ประเทศไทยมีกิจกรรมเศรษฐกิจด้านต่างประเทศ
ที่ยืดหยุ่น
และเป็นผลพลอยได้จากการที่เศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพด้านต่างประเทศจึงเป็นเป้าหมายของการเป็นที่พักเงิน
ในยามที่เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนสูง อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเงินบาทแข็งค่าจะเกิดจากสาเหตุใด ถือว่าเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยาก
และคาดว่ายังมีแนวโน้มผันผวนตลอดทั้งปี ดังนั้น ผู้ส่งออกไม่ควรเก็งกำไรค่าเงินในทุกกรณี แต่ควรหันมาใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง
ให้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็ควรใช้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่าในการนำเข้าหรือพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์
ของตน รวมถึงการออกไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนในอนาคต
  Disclaimer : ข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏ เป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น
โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด
 
  หน้าหลัก   I   บทความพิเศษ   I   Share โลกเศรษฐกิจ   I   เปิดประตูสู่ตลาดใหม่
ส่องเทรนด์โลก   I   เกร็ดการเงินระหว่างประเทศ   I   แวดวงคู่ค้า   I   แนะนำบริการ   I   สรุปข่าว