ตลอดหลายปีที่ผ่านมา จีนใช้นโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจโดยหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศและพึ่งพาอุปสงค์ในประเทศมากขึ้น เพื่อเป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งที่ผ่านมาจีนดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ตาม เริ่มมีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา นโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจของจีนดูจะแข็งกร้าวและเอาจริงเอาจังมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนผ่านการดำเนินนโยบาย 3 ด้านสำคัญ ได้แก่

          ตัดตอนการผูกขาด สร้างโอกาสให้ธุรกิจหน้าใหม่ ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเทคโนโลยีของจีนพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด จนทำให้ผู้ประกอบการจีนก้าวขึ้นสู่การเป็นบริษัทชั้นนำของโลก อาทิ JD.com, Alibaba รวมถึง Huawei ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่าจีนน่าจะใช้บริษัทยักษ์ใหญ่ดังกล่าวเป็นหัวหอกในการต่อสู้ใน “สงครามเทคโนโลยี” กับสหรัฐฯ ที่กำลังเข้มข้นขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับอยู่เหนือความคาดหมาย เมื่อรัฐบาลจีนเดินหน้าบังคับใช้กฎหมายควบคุมการผูกขาด โดยพุ่งเป้าไปที่บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ใช้อำนาจผูกขาดธุรกิจ โดยล่าสุดรัฐบาลจีนได้สั่งลงโทษบริษัทขนาดใหญ่หลายรายที่ดำเนินธุรกิจแบบเอารัดเอาเปรียบบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก อาทิ Alibaba ที่ต้องจ่ายค่าปรับถึง 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลอดจนสั่งให้บริษัท Tencent ยกเลิกการผูกขาดลิขสิทธิ์เพลงภายใน 30 วัน สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลจีนกำลังเอาจริงเอาจังในการลดอำนาจผูกขาดของผู้เล่นรายใหญ่ และสร้างโอกาสให้ธุรกิจหน้าใหม่ ซึ่งจะกระตุ้นการคิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้การพัฒนาเทคโนโลยีของจีนเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว

          ลดบทบาทรัฐ ใช้กลไกตลาดในการขับเคลื่อน “รัฐวิสาหกิจ” ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทางการจีนใช้ในการบริหารและพัฒนาประเทศมาโดยตลอด ทำให้ปัจจุบันขนาดของรัฐวิสาหกิจจีนคิดเป็นสัดส่วนถึงราว 30% ของ GDP อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้แสดงท่าทีชัดเจนว่าจะเริ่มลดบทบาทและลดการช่วยเหลือรัฐวิสาหกิจที่ไม่มีประสิทธิภาพลง สะท้อนได้จากยอดผิดนัดชำระหนี้ของรัฐวิสาหกิจในช่วงครึ่งแรกปี 2564 ที่สูงเป็นประวัติการณ์ คิดเป็นเม็ดเงินกว่า 3.6 หมื่นล้านหยวน (50% ของทั้งระบบ) โดยจะสังเกตเห็นว่าเริ่มมีรัฐวิสาหกิจจีนในหลายอุตสาหกรรมผิดนัดชำระหนี้มากขึ้น อาทิ อสังหาริมทรัพย์ ถ่านหิน การเงิน เป็นต้น แม้ล่าสุดได้มีการตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือรัฐวิสาหกิจเหล่านั้นเป็นมูลค่าถึง 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นพบว่าทางการจีนกลับปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปตามกลไกตลาด โดยลดการแทรกแซงลง ซึ่งแม้ระยะสั้นจะสร้างความตื่นตระหนกให้ตลาดอยู่บ้าง แต่ในระยะยาวหลายฝ่ายมองว่าการปล่อยให้ธุรกิจที่ไม่มีประสิทธิภาพออกไปจากตลาด จะช่วยทำให้เศรษฐกิจจีนมีเสถียรภาพมากขึ้น

          หยุด Cryptocurrency ปูทางสู่ดิจิทัลหยวน เป็นที่ทราบกันดีว่ารัฐบาลจีนพยายามผลักดันให้เงินหยวนดิจิทัลกลายเป็นสกุลเงินหลักที่ใช้ในชีวิตประจำวันเป็นชาติแรกของโลก สังเกตได้จากทางการจีนเริ่มจ่ายเงินเดือนและแจกเงินหยวนดิจิทัลให้ประชาชนทดลองใช้ในหลายเมือง อีกทั้งล่าสุดในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ภาพดังกล่าวมีความชัดเจนมากขึ้นเมื่อรัฐบาลได้ออกคำสั่งปิดเหมืองขุด Cryptocurrency รวมทั้งสั่งให้ธนาคารกลางปิดบัญชีที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรม Cryptocurrency ส่วนหนึ่งเพราะเห็นว่าการทำธุรกรรมด้วย Cryptocurrency ไม่สามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินได้ ขณะเดียวกันยังเป็นการทำลายเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าการดำเนินนโยบายที่แข็งกร้าวดังกล่าวเท่ากับว่า จีนกำลังตัดตอนเงินดิจิทัลทางเลือกอื่น ๆ และเร่งผลักดันดิจิทัลหยวนให้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในระบบการเงินจีน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้สกุลเงินดิจิทัลในระดับโลกตามมา

          การที่จีนมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และเป็นตลาดสินค้าขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ด้วยจำนวนประชากรกว่า 1.4 พันล้านคน การเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศจีน ย่อมส่งแรงกระเพื่อมถึงเศรษฐกิจและการค้าโลก รวมถึงไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานเดียวกับจีน อย่างรถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมี เป็นต้น ที่ต้องติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ตลอดจนพร้อมปรับตัวและช่วงชิงโอกาสใหม่ ๆ ที่แทรกตัวอยู่ในการปฏิรูปเศรษฐกิจจีน
 
  Disclaimer: ข้อมูลต่าง ๆ ที่ปรากฏ เป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น
โดย EXIM BANK จะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด
  หน้าหลัก  I  Share โลกเศรษฐกิจ  I  เปิดประตูสู่ตลาดใหม่  I  รู้ทันเกมการค้า  I  เกร็ดการเงินระหว่างประเทศ
เรื่องเล่าจาก CLMV  I  CEO Talk  I แวดวงคู่ค้า  I  แนะนำบริการ  I  สรุปข่าว