นับตั้งแต่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนปะทุขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 อัตราขยายตัวของการค้าโลกชะลอลงต่อเนื่อง และเริ่มเห็นผลกระทบอย่างชัดเจนมากขึ้นตั้งแต่ในช่วงต้นปี 2562 ที่การค้าโลกเริ่มหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี โดยจากข้อมูลของ
องค์การการค้าโลก (WTO) พบว่าการส่งออกรวมของทั้งโลกในช่วง 6 เดือนแรกปี 2562 หดตัว 2.8% คิดเป็นมูลค่าส่งออกที่หายไปราว
2.68 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 0.3% ของ GDP โลก ซึ่งสอดคล้องกับคาดการณ์ล่าสุดของ IMF ที่ได้ปรับลดการ
ขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปี 2562 ลงจาก 3.3% เหลือ 3.0% ต่ำสุดในรอบ 10 ปี ทั้งนี้ หากพิจารณามูลค่าส่งออกของประเทศฃคู่ค้า
สำคัญของไทย (คิดเป็นสัดส่วนราว 80% ของมูลค่าส่งออกรวม) พบหลายประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้
  อัตราขยายตัวของการค้าโลก (Q1/2561-Q2/2562)  
  ที่มา : ฝ่ายวิจัยธุรกิจ EXIM BANK คำนวณจากข้อมูล WTO  
           เอเชียกับยุโรปเจ็บหนักสุด ประเทศที่มีมูลค่าส่งออกลดลงมากส่วนใหญ่กระจายตัวอยู่ใน 2 ภูมิภาคหลักคือ เอเชียและยุโรป
มีเพียงบราซิลซึ่งอยู่ในลาตินอเมริกา

         ใครเอี่ยวกับจีนมากจะเจ็บหนัก ประเทศในเอเชียส่วนใหญ่ที่มูลค่าส่งออกลดลงมากล้วนเป็น Supply Chain สำคัญของจีน
และ/หรือพึ่งพาการส่งออกไปจีนในสัดส่วนสูง โดยเฉพาะในสินค้าอุตสาหกรรมและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งไทยก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
เนื่องจากพึ่งพาการส่งออกไปจีน 11% ทั้งนี้ มูลค่าส่งออกรวมของไทยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 หดตัว 2.9% หรือคิดเป็นมูลค่า
ส่งออกที่ลดลงกว่า 3,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายประเทศที่การส่งออกได้รับผลกระทบรุนแรงกว่าไทย
อาทิ เกาหลีใต้ (พึ่งพาการส่งออกไปจีน 27%) ญี่ปุ่น (20%) ฮ่องกง (55%) สิงคโปร์ (12%) อินโดนีเซีย (15%) มาเลเซีย (14%)
ไต้หวัน (29%) รวมถึงบราซิลที่ส่งออกไปจีนถึง 27% โดยเฉพาะสินค้าโภคภัณฑ์
  ตารางที่ 1 มูลค่าส่งออก (ม.ค.-มิ.ย. 62) และผลกระทบต่อ GDP  
  ที่มา : ฝ่ายวิจัยธุรกิจ EXIM BANK คำนวณจากข้อมูล WTO และ IMF  
           ใครเอี่ยวกับสหรัฐฯ มากมีแนวโน้มเจ็บตัวน้อยกว่า ประเทศที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่าไทยในแง่การส่งออกส่วนใหญ่
เป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ มากกว่าตลาดจีน ไม่ว่าจะเป็นเม็กซิโก แคนาดา เวียดนาม อินเดีย และฟิลิปปินส์ สะท้อนได้ว่า
สหรัฐฯ เป็นตลาดที่ช่วยดูดซับผลกระทบเชิงลบจากสงครามการค้าในประเทศเหล่านั้นได้ระดับหนึ่ง ซึ่งแม้แต่ไทยเองก็ได้อานิสงส์จาก
การส่งออกไปสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งแรกปี 2562 ที่ขยายตัวถึง 17%
ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ถือว่าขยายตัวได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับ
ประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ ทำให้สหรัฐฯ ยังต้องนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นๆ มาทดแทนสินค้าจีนที่มีราคาแพงขึ้นจากภาษี สะท้อนได้
จากมูลค่านำเข้าของสหรัฐฯ ในช่วง 6 เดือนแรกปี 2562 ที่ไม่ได้ลดลงตามที่หลายฝ่ายคาด โดยยังขยายตัวได้ 0.2% สวนทางกับ
มูลค่านำเข้าของจีนที่หดตัวราว 5% ในช่วงเวลาเดียวกัน
  ตารางที่ 2 สัดส่วนการส่งออกของประเทศต่างๆ ไปสหรัฐฯ และจีน  
  ที่มา : ฝ่ายวิจัยธุรกิจ EXIM BANK คำนวณจากข้อมูล Trademap  
           ยุโรปถูกซ้ำเติมจากปัจจัยภายในภูมิภาค มูลค่าส่งออกของประเทศในยุโรปที่ลดลงมากทั้งเยอรมนี อิตาลี สเปน
สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส อาจมีสาเหตุสำคัญมาจากเศรษฐกิจยุโรปเองที่ชะลอลง โดยเฉพาะเศรษฐกิจประเทศยักษ์ใหญ่อันดับ 1
และ 2 ของภูมิภาคทั้งเยอรมนีและสหราชอาณาจักรที่เศรษฐกิจมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ Technical Recession จาก GDP ไตรมาส 1
ปี 2562 ที่หดตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ทั้งนี้ การที่ประเทศในยุโรปค้าขายกันเอง (Intra-regional Trade) กว่า 65% ของการค้า
ทั้งหมด แต่พึ่งพาการส่งออกไปตลาดคู่กรณีอย่างสหรัฐฯ และจีนสัดส่วนรวมกันราว 11% เท่านั้น มูลค่าส่งออกที่ลดลงจึงอาจมีสาเหตุ
จากสงครามการค้าเพียงบางส่วน

         คู่กรณีที่ก่อสงครามกลับเจ็บตัวน้อย จากตัวเลขผลกระทบต่อการส่งออกและ GDP ข้างต้นพบว่าสหรัฐฯ และจีนแทบไม่ได้รับ
ผลกระทบจากสงครามการค้าเท่าใดนัก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะทั้งสองประเทศมีภูมิต้านทานที่ดี โดยสหรัฐฯ ได้แรงหนุนจากการบริโภค
ภาคเอกชนและตลาดแรงงานที่ยังแข็งแกร่ง ขณะที่จีนก็ได้ตัวช่วยจากนโยบายการเงินและนโยบายการคลังที่พร้อมเข้ามาประคับประคอง
กิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศให้ยังขยายตัวได้ โดยเฉพาะการลงทุนซึ่งเป็นภาคส่วนที่ใหญ่ที่สุดของเศรษฐกิจจีน นอกจากนี้
ในช่วงที่ผ่านมาทั้งจีนและสหรัฐฯ ได้ใช้กลยุทธ์การลงทุนนำการค้า (Investment-induced Trade) อย่างต่อเนื่อง โดยการเข้าไปลงทุน
ในประเทศปลายทางเพื่อสร้างตลาดให้กับสินค้าของตนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทำให้มีการเชื่อมโยง Supply Chain ระหว่างประเทศแม่
และประเทศปลายทางมากขึ้น ซึ่งมีส่วนช่วยบรรเทาผลกระทบต่อการส่งออกโดยรวมได้บางส่วน

         อุปสงค์ในประเทศเป็นเกราะกำบังสงครามการค้าชั้นดี มีข้อสังเกตว่าหลายประเทศที่การส่งออกได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก
ดังเห็นได้จากมูลค่าส่งออกที่หดตัวลงมาก แต่เศรษฐกิจในภาพรวมกลับได้รับผลกระทบไม่มากนัก อาทิ บราซิล สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น
อิตาลี อินโดนีเซีย เป็นต้น ซึ่งมูลค่าส่งออกในช่วงครึ่งแรกปี 2562 ของทุกประเทศหดตัวมากกว่าไทยทั้งสิ้น แต่ผลกระทบต่อ GDP
กลับน้อยกว่าหรือใกล้เคียงกับไทย เนื่องจากประเทศเหล่านี้พึ่งพาอุปสงค์ในประเทศทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนเป็นหลัก
ขณะที่ภาคการส่งออกคิดเป็นสัดส่วนไม่มากนักเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจ
  ตารางที่ 3 โครงสร้างเศรษฐกิจ และผลกระทบจากภาคส่งออกต่อเศรษฐกิจโดยรวม  
  ที่มา : ฝ่ายวิจัยธุรกิจ EXIM BANK คำนวณจากข้อมูล WTO, IMF และ EIU  
           มีสัญญาณการกระจายตัวของห่วงโซ่อุปทานโลกมากขึ้น ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกถูกขับเคลื่อน
ด้วยภาคการค้าระหว่างประเทศ โดยมีจีนเป็นฐานการผลิตสำคัญของโลกจนได้รับการขนานนามว่าเป็น “Factory of the World” ดังนั้น สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน จึงถือเป็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่าง “ผู้ผลิตและส่งออกสินค้า
รายใหญ่อันดับ 1 ของโลก” อย่างจีน กับ “ผู้บริโภคและนำเข้าสินค้ารายใหญ่อันดับ 1 ของโลก” อย่างสหรัฐฯ ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรก
ปี 2562 สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากจีน ซึ่งเป็นตลาดนำเข้าอันดับ 1 ของสหรัฐฯ ลดลง 12% คิดเป็นมูลค่าราว 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งส่งผลกระทบต่อจีนและบรรดาประเทศที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของจีนเป็นวงกว้าง อย่างไรก็ตาม การที่มูลค่านำเข้าโดยรวมของสหรัฐฯ
ในช่วงเวลาดังกล่าวไม่ได้ลดลง แต่กลับขยายตัวได้ราว 0.2% สะท้อนให้เห็นว่าสหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากตลาดอื่นๆ เพื่อทดแทนสินค้า
จากจีน โดยเฉพาะเม็กซิโก เวียดนาม และอินเดีย ซึ่งมูลค่าส่งออกไปสหรัฐฯ ขยายตัวสูง สอดคล้องกับข้อมูลในตารางที่ 1 ที่ระบุว่าทั้ง
3 ประเทศข้างต้นเป็นประเทศที่ได้ประโยชน์จากสงครามการค้ามากกว่าประเทศอื่นๆ ดังนั้น มีความเป็นไปได้ว่า หากสงครามการค้า
ระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงยืดเยื้อ อาจทำให้จีนลดบทบาทในฐานะของการเป็น “Factory of the World” ลงไป ขณะที่ฐานการผลิต
อาจเริ่มย้ายออกจากจีนไปยังประเทศอื่นๆ มากขึ้น โดยเฉพาะเวียดนาม อินเดีย และเม็กซิโก ที่อาจก้าวขึ้นมาเป็น “The New Factories
of the World” แทนที่จีนในบางส่วน
  ตารางที่ 4 มูลค่าและอัตราขยายตัวของการนำเข้าของสหรัฐฯ จากประเทศต่างๆ  
  ที่มา : ฝ่ายวิจัยธุรกิจ EXIM BANK คำนวณจากข้อมูล Trademap  
            ในส่วนของประเทศไทย เพื่อบรรเทาผลกระทบของสงครามการค้าในครั้งนี้ที่อาจยืดเยื้อเป็นเวลานาน ควบคู่ไปกับการสร้าง
เกราะป้องกันสำหรับสงครามการค้าหรือมาตรการทางการค้ารูปแบบใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในระยะถัดไป ทางออกในระยะสั้นสำหรับ
ผู้ประกอบการไทยคือการกระจายตลาดส่งออกไปยังตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะตลาด New frontiers ซึ่งกำลังซื้อยังเพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจ
ที่ขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่อง อาทิ CLMV แอฟริกา ลาตินอเมริกา เป็นต้น หรือกระจายการส่งออกสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม
การค้าโดยตรงจากการที่ไทยอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของจีนไปยังตลาดหลบภัยอื่นๆ ที่ได้ประโยชน์จากสงครามการค้า อาทิ การส่งออก
แผงวงจรไฟฟ้าไปเม็กซิโก หรือส่งออกคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบไปตลาดอินเดีย แคนาดา เป็นต้น สำหรับทางออกในระยะยาว
ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันในการผลักดันการลงทุนใหม่อย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ
ภาคตะวันออก (EEC) และการลงทุนในอุตสาหกรรม S-Curve ซึ่งจะมุ่งเน้นการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้นวัตกรรมใหม่ๆ และมีมูลค่า
เพิ่มสูง ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้บนเวทีโลกอย่างยั่งยืนในระยะยาว
            จบไปแล้วกับการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 35 ที่ประเทศไทยในฐานะประธานและเจ้าภาพการประชุม
อาเซียนตลอดทั้งปี 2562 ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งในบรรดาหัวข้อการเจรจาในครั้งนี้ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับ
ภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP)
ถือเป็นจุดสนใจของนานาประเทศเป็นอย่างมาก
เนื่องจากเคยเป็นความตกลงที่เป็นคู่เทียบกับความตกลงเขตการค้าเสรีสำคัญอย่าง Trans-Pacific Partnership (TPP) ที่เคยมีสหรัฐฯ
เป็นหัวหอกแม้ปัจจุบันถูกลดระดับความสำคัญลงหลังจากสหรัฐฯ ถอนตัว จนปัจจุบันบรรลุข้อตกลงภายใต้ชื่อ Comprehensive and
ProgressiveAgreement for Trans-Pacific Partnership (CPTPP) ประกอบกับเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญสงครามการค้าซึ่งถือเป็นแนวคิด
ที่ตรงกันข้ามกับแนวคิดการค้าเสรีโดยสิ้นเชิง ความสำเร็จในการเจรจาความตกลง RCEP ในครั้งนี้จึงถือเป็นพัฒนาการสำคัญที่จะมี
ส่วนช่วยบรรเทาผลกระทบจากสงครามการค้า และกระแสปกป้องทางการค้าที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่

          ความสำเร็จที่ถือเป็นไฮไลต์สำคัญ คือ การที่ประเทศไทยสามารถผลักดันให้เกิดผลสรุปของการเจรจาความตกลง RCEP ได้ครบ
ข้อเจรจาทั้งหมด 20 บท จากช่วงต้นปี 2562 ที่ได้ผลสรุปเพียง 7 บท โดยเป็นการบรรลุข้อเจรจาระหว่างอาเซียน 10 ประเทศกับประเทศ
หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ 5 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ยกเว้นเพียงอินเดียที่ยังไม่พร้อม
ในการเปิดเสรีการค้าการลงทุนในบางรายการตามความตกลง RCEP ซึ่งหลังจากนี้คณะเจรจาต้องไปจัดเตรียมข้อกฎหมายเพื่อให้พร้อม
สำหรับการลงนามในปี 2563 สำหรับประเด็นที่น่าสนใจและผลประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากความตกลง RCEP มีดังนี้

          การเจรจายังคงยึดมั่นในการให้สมาชิก ซึ่งหมายถึงประเทศในอาเซียนและประเทศหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจทั้ง
6 ประเทศ สามารถดำเนินการโดยสมัครใจ และเคารพสิทธิของแต่ละประเทศผู้ร่วมเจรจา โดยการยอมให้อินเดีย ซึ่งยังไม่พร้อม
ในการเปิดเสรีการค้าการลงทุนในบางรายการตามความตกลง RCEP ถอนตัวออกก่อน แต่ยังสามารถกลับมาเจรจาหาข้อสรุปร่วมกันได้
ในภายหลัง ทั้งนี้ คาดว่าโอกาสที่อินเดียจะกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจามีความเป็นไปได้พอสมควร เพราะในเกมการต่อรองที่ไม่มีการกำหนด
เวลาจบสิ้นชัดเจนเช่นการเจรจาในช่วงก่อนหน้า ทำให้การประเมินผลได้/เสียเป็นไปได้ยาก ซึ่งเมื่อความตกลง RCEP เริ่มเดินหน้าและ
ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งด้านการค้าและการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น อินเดียจะมีแรงจูงใจมากขึ้นในการเข้าร่วมความตกลง

          กลุ่มประเทศภายใต้ความตกลง RCEP กลายเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจยิ่งขึ้นในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติ
โดยประเทศสมาชิก RCEP (ไม่รวมอินเดีย) มีขนาดเศรษฐกิจรวมกันถึง 24.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 29% ของขนาด
เศรษฐกิจโลก ขณะที่มีประชากรรวมกันถึงราว 3.6 พันล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 30% ของจำนวนประชากรโลก สำหรับ
ประเทศไทย ด้วยความพร้อมของอุตสาหกรรมสนับสนุน และโครงสร้างพื้นฐาน ไปจนถึงนโยบาย EEC ซึ่งเป็น New Engine of Growth
ของประเทศไทยก็จะได้ประโยชน์จากการเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจมากขึ้นเช่นกัน

         ความตกลง RCEP จะช่วยสนับสนุนการส่งออกของไทยในระยะข้างหน้า แม้ว่าเดิมทีอาเซียนมีการทำ FTA กับประเทศ
หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเป็นรายประเทศอยู่แล้ว แต่คาดว่าจะมีสินค้าส่งออกของไทยที่จะได้ประโยชน์เพิ่มเติมจากความตกลง
RCEP โดยก่อนหน้านี้กระทรวงพาณิชย์ได้เคยประเมินว่าสินค้าในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า พลาสติกและเคมีภัณฑ์ ยานยนต์
และชิ้นส่วน ยางล้อ เส้นใย สิ่งทอ เครื่องแต่งกาย ผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลัง และกระดาษ จะเป็นกลุ่มสินค้าที่ได้ประโยชน์เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องรอรายละเอียดความตกลง RCEP ที่ชัดเจนเพื่อประเมินสินค้าที่จะได้ประโยชน์อีกครั้งหนึ่ง ประกอบกับการ
ที่อินเดียยังไม่ได้ร่วมความตกลง RCEP อาจทำให้กลุ่มสินค้าที่ได้รับประโยชน์เปลี่ยนแปลงไป

         การที่อินเดียยังไม่เข้าร่วม RCEP ไม่ได้บั่นทอนการค้าระหว่างไทยและอินเดียแต่อย่างใด เนื่องจากไทยและอาเซียน
ยังคงมีข้อตกลงเขตการค้าเสรีร่วมกับอินเดียภายใต้ Thailand-India Free Trade Agreement (TIFTA) และ ASEAN-India Free Trade
Agreement (AIFTA) ขณะเดียวกันอินเดียนับเป็นตลาดเป้าหมายใหม่สำหรับผู้ประกอบการไทย ซึ่งภาครัฐให้ความสำคัญและพร้อม
สนับสนุนในการเปิดตลาด โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การส่งออกของไทยไปอินเดียขยายตัวเฉลี่ย 9% ต่อปี เทียบกับการส่งออก
ของไทยโดยรวมที่ขยายตัวเฉลี่ย 2%

         แม้ว่า RCEP จะยังไม่สำเร็จผลอย่างเต็มรูปแบบ แต่ก็เป็นสิ่งที่สามารถคาดการณ์และมีเวลาในการเตรียมพร้อมเพื่อรุกโอกาส
การค้าการลงทุนที่กำลังจะเกิดขึ้น ผู้ประกอบการไทยจึงจำเป็นต้องเตรียมกลยุทธ์ให้พร้อม โดยเฉพาะด้านการลงทุนที่เปิดกว้างขึ้น
จากความตกลง RCEP ซึ่งสำหรับผู้ประกอบการที่มีความพร้อมในการขยายการลงทุนไปต่างประเทศ ควรศึกษาลู่ทางและแสวงหา
โอกาสลงทุนในประเทศสมาชิก RCEP โดยอาศัยจุดแข็งของประเทศนั้น อาทิ ความพร้อมด้านแรงงาน และทรัพยากรทางธรรมชาติ
เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกิจการ ส่วนผู้ประกอบการไทยที่ยังไม่มีความพร้อมด้านการลงทุนในต่างประเทศหรือยังไม่มีแผนการ
ลงทุนในต่างประเทศ ควรเตรียมกลยุทธ์รับมือกับแนวโน้มการแข่งขันในประเทศที่อาจรุนแรงขึ้นจากการเข้ามาของผู้ประกอบการต่างชาติ
ในอนาคต โดยผู้ประกอบการในภาคการผลิตจำเป็นต้องเร่งยกระดับศักยภาพของธุรกิจไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่า
เพิ่มสูง หรือผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับตลาดผู้บริโภคยุคใหม่ ไปจนถึงการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาประยุกต์ใช้ในการ
ดำเนินธุรกิจ
  Disclaimer : ข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏ เป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น
โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด
 
  หน้าหลัก   I   บทความพิเศษ   I   Share โลกเศรษฐกิจ   I   เปิดประตูสู่ตลาดใหม่   I   รู้ทันเกมการค้า
เกร็ดการเงินระหว่างประเทศ   I   CEO Talk   I   แวดวงคู่ค้า   I   แนะนำบริการ   I   สรุปข่าว