|
|
นับตั้งแต่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนปะทุขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 อัตราขยายตัวของการค้าโลกชะลอลงต่อเนื่อง และเริ่มเห็นผลกระทบอย่างชัดเจนมากขึ้นตั้งแต่ในช่วงต้นปี 2562 ที่การค้าโลกเริ่มหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี โดยจากข้อมูลของ
องค์การการค้าโลก (WTO) พบว่าการส่งออกรวมของทั้งโลกในช่วง 6 เดือนแรกปี 2562 หดตัว 2.8% คิดเป็นมูลค่าส่งออกที่หายไปราว
2.68 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 0.3% ของ GDP โลก ซึ่งสอดคล้องกับคาดการณ์ล่าสุดของ IMF ที่ได้ปรับลดการ
ขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปี 2562 ลงจาก 3.3% เหลือ 3.0% ต่ำสุดในรอบ 10 ปี ทั้งนี้ หากพิจารณามูลค่าส่งออกของประเทศฃคู่ค้า
สำคัญของไทย (คิดเป็นสัดส่วนราว 80% ของมูลค่าส่งออกรวม) พบหลายประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้ |
|
|
|
อัตราขยายตัวของการค้าโลก (Q1/2561-Q2/2562) |
|
|
|
|
ที่มา : ฝ่ายวิจัยธุรกิจ EXIM BANK คำนวณจากข้อมูล WTO |
|
|
|
|
|
• เอเชียกับยุโรปเจ็บหนักสุด ประเทศที่มีมูลค่าส่งออกลดลงมากส่วนใหญ่กระจายตัวอยู่ใน 2 ภูมิภาคหลักคือ เอเชียและยุโรป
มีเพียงบราซิลซึ่งอยู่ในลาตินอเมริกา
• ใครเอี่ยวกับจีนมากจะเจ็บหนัก ประเทศในเอเชียส่วนใหญ่ที่มูลค่าส่งออกลดลงมากล้วนเป็น Supply Chain สำคัญของจีน
และ/หรือพึ่งพาการส่งออกไปจีนในสัดส่วนสูง โดยเฉพาะในสินค้าอุตสาหกรรมและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งไทยก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
เนื่องจากพึ่งพาการส่งออกไปจีน 11% ทั้งนี้ มูลค่าส่งออกรวมของไทยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 หดตัว 2.9% หรือคิดเป็นมูลค่า
ส่งออกที่ลดลงกว่า 3,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายประเทศที่การส่งออกได้รับผลกระทบรุนแรงกว่าไทย
อาทิ เกาหลีใต้ (พึ่งพาการส่งออกไปจีน 27%) ญี่ปุ่น (20%) ฮ่องกง (55%) สิงคโปร์ (12%) อินโดนีเซีย (15%) มาเลเซีย (14%)
ไต้หวัน (29%) รวมถึงบราซิลที่ส่งออกไปจีนถึง 27% โดยเฉพาะสินค้าโภคภัณฑ์ |
|
|
|
|
ตารางที่ 1 มูลค่าส่งออก (ม.ค.-มิ.ย. 62) และผลกระทบต่อ GDP |
|
|
|
|
ที่มา : ฝ่ายวิจัยธุรกิจ EXIM BANK คำนวณจากข้อมูล WTO และ IMF |
|
|
|
|
|
• ใครเอี่ยวกับสหรัฐฯ มากมีแนวโน้มเจ็บตัวน้อยกว่า ประเทศที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่าไทยในแง่การส่งออกส่วนใหญ่
เป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ มากกว่าตลาดจีน ไม่ว่าจะเป็นเม็กซิโก แคนาดา เวียดนาม อินเดีย และฟิลิปปินส์ สะท้อนได้ว่า
สหรัฐฯ เป็นตลาดที่ช่วยดูดซับผลกระทบเชิงลบจากสงครามการค้าในประเทศเหล่านั้นได้ระดับหนึ่ง ซึ่งแม้แต่ไทยเองก็ได้อานิสงส์จาก
การส่งออกไปสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งแรกปี 2562 ที่ขยายตัวถึง 17% ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ถือว่าขยายตัวได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับ
ประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ ทำให้สหรัฐฯ ยังต้องนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นๆ มาทดแทนสินค้าจีนที่มีราคาแพงขึ้นจากภาษี สะท้อนได้
จากมูลค่านำเข้าของสหรัฐฯ ในช่วง 6 เดือนแรกปี 2562 ที่ไม่ได้ลดลงตามที่หลายฝ่ายคาด โดยยังขยายตัวได้ 0.2% สวนทางกับ
มูลค่านำเข้าของจีนที่หดตัวราว 5% ในช่วงเวลาเดียวกัน |
|
|
|
ตารางที่ 2 สัดส่วนการส่งออกของประเทศต่างๆ ไปสหรัฐฯ และจีน |
|
|
|
|
ที่มา : ฝ่ายวิจัยธุรกิจ EXIM BANK คำนวณจากข้อมูล Trademap |
|
|
|
|
|
• ยุโรปถูกซ้ำเติมจากปัจจัยภายในภูมิภาค มูลค่าส่งออกของประเทศในยุโรปที่ลดลงมากทั้งเยอรมนี อิตาลี สเปน
สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส อาจมีสาเหตุสำคัญมาจากเศรษฐกิจยุโรปเองที่ชะลอลง โดยเฉพาะเศรษฐกิจประเทศยักษ์ใหญ่อันดับ 1
และ 2 ของภูมิภาคทั้งเยอรมนีและสหราชอาณาจักรที่เศรษฐกิจมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ Technical Recession จาก GDP ไตรมาส 1
ปี 2562 ที่หดตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ทั้งนี้ การที่ประเทศในยุโรปค้าขายกันเอง (Intra-regional Trade) กว่า 65% ของการค้า
ทั้งหมด แต่พึ่งพาการส่งออกไปตลาดคู่กรณีอย่างสหรัฐฯ และจีนสัดส่วนรวมกันราว 11% เท่านั้น มูลค่าส่งออกที่ลดลงจึงอาจมีสาเหตุ
จากสงครามการค้าเพียงบางส่วน
• คู่กรณีที่ก่อสงครามกลับเจ็บตัวน้อย จากตัวเลขผลกระทบต่อการส่งออกและ GDP ข้างต้นพบว่าสหรัฐฯ และจีนแทบไม่ได้รับ
ผลกระทบจากสงครามการค้าเท่าใดนัก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะทั้งสองประเทศมีภูมิต้านทานที่ดี โดยสหรัฐฯ ได้แรงหนุนจากการบริโภค
ภาคเอกชนและตลาดแรงงานที่ยังแข็งแกร่ง ขณะที่จีนก็ได้ตัวช่วยจากนโยบายการเงินและนโยบายการคลังที่พร้อมเข้ามาประคับประคอง
กิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศให้ยังขยายตัวได้ โดยเฉพาะการลงทุนซึ่งเป็นภาคส่วนที่ใหญ่ที่สุดของเศรษฐกิจจีน นอกจากนี้
ในช่วงที่ผ่านมาทั้งจีนและสหรัฐฯ ได้ใช้กลยุทธ์การลงทุนนำการค้า (Investment-induced Trade) อย่างต่อเนื่อง โดยการเข้าไปลงทุน
ในประเทศปลายทางเพื่อสร้างตลาดให้กับสินค้าของตนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทำให้มีการเชื่อมโยง Supply Chain ระหว่างประเทศแม่
และประเทศปลายทางมากขึ้น ซึ่งมีส่วนช่วยบรรเทาผลกระทบต่อการส่งออกโดยรวมได้บางส่วน
• อุปสงค์ในประเทศเป็นเกราะกำบังสงครามการค้าชั้นดี มีข้อสังเกตว่าหลายประเทศที่การส่งออกได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก
ดังเห็นได้จากมูลค่าส่งออกที่หดตัวลงมาก แต่เศรษฐกิจในภาพรวมกลับได้รับผลกระทบไม่มากนัก อาทิ บราซิล สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น
อิตาลี อินโดนีเซีย เป็นต้น ซึ่งมูลค่าส่งออกในช่วงครึ่งแรกปี 2562 ของทุกประเทศหดตัวมากกว่าไทยทั้งสิ้น แต่ผลกระทบต่อ GDP
กลับน้อยกว่าหรือใกล้เคียงกับไทย เนื่องจากประเทศเหล่านี้พึ่งพาอุปสงค์ในประเทศทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนเป็นหลัก
ขณะที่ภาคการส่งออกคิดเป็นสัดส่วนไม่มากนักเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจ
|
|
|
|
ตารางที่ 3 โครงสร้างเศรษฐกิจ และผลกระทบจากภาคส่งออกต่อเศรษฐกิจโดยรวม |
|
|
|
|
ที่มา : ฝ่ายวิจัยธุรกิจ EXIM BANK คำนวณจากข้อมูล WTO, IMF และ EIU |
|
|
|
|
|
• มีสัญญาณการกระจายตัวของห่วงโซ่อุปทานโลกมากขึ้น ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกถูกขับเคลื่อน
ด้วยภาคการค้าระหว่างประเทศ โดยมีจีนเป็นฐานการผลิตสำคัญของโลกจนได้รับการขนานนามว่าเป็น “Factory of the World” ดังนั้น สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน จึงถือเป็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่าง “ผู้ผลิตและส่งออกสินค้า
รายใหญ่อันดับ 1 ของโลก” อย่างจีน กับ “ผู้บริโภคและนำเข้าสินค้ารายใหญ่อันดับ 1 ของโลก” อย่างสหรัฐฯ ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรก
ปี 2562 สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากจีน ซึ่งเป็นตลาดนำเข้าอันดับ 1 ของสหรัฐฯ ลดลง 12% คิดเป็นมูลค่าราว 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งส่งผลกระทบต่อจีนและบรรดาประเทศที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของจีนเป็นวงกว้าง อย่างไรก็ตาม การที่มูลค่านำเข้าโดยรวมของสหรัฐฯ
ในช่วงเวลาดังกล่าวไม่ได้ลดลง แต่กลับขยายตัวได้ราว 0.2% สะท้อนให้เห็นว่าสหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากตลาดอื่นๆ เพื่อทดแทนสินค้า
จากจีน โดยเฉพาะเม็กซิโก เวียดนาม และอินเดีย ซึ่งมูลค่าส่งออกไปสหรัฐฯ ขยายตัวสูง สอดคล้องกับข้อมูลในตารางที่ 1 ที่ระบุว่าทั้ง
3 ประเทศข้างต้นเป็นประเทศที่ได้ประโยชน์จากสงครามการค้ามากกว่าประเทศอื่นๆ ดังนั้น มีความเป็นไปได้ว่า หากสงครามการค้า
ระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงยืดเยื้อ อาจทำให้จีนลดบทบาทในฐานะของการเป็น “Factory of the World” ลงไป ขณะที่ฐานการผลิต
อาจเริ่มย้ายออกจากจีนไปยังประเทศอื่นๆ มากขึ้น โดยเฉพาะเวียดนาม อินเดีย และเม็กซิโก ที่อาจก้าวขึ้นมาเป็น “The New Factories
of the World” แทนที่จีนในบางส่วน |
|
|
|
ตารางที่ 4 มูลค่าและอัตราขยายตัวของการนำเข้าของสหรัฐฯ จากประเทศต่างๆ |
|
|
|
|
ที่มา : ฝ่ายวิจัยธุรกิจ EXIM BANK คำนวณจากข้อมูล Trademap |
|
|
|
|
|
ในส่วนของประเทศไทย เพื่อบรรเทาผลกระทบของสงครามการค้าในครั้งนี้ที่อาจยืดเยื้อเป็นเวลานาน ควบคู่ไปกับการสร้าง
เกราะป้องกันสำหรับสงครามการค้าหรือมาตรการทางการค้ารูปแบบใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในระยะถัดไป ทางออกในระยะสั้นสำหรับ
ผู้ประกอบการไทยคือการกระจายตลาดส่งออกไปยังตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะตลาด New frontiers ซึ่งกำลังซื้อยังเพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจ
ที่ขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่อง อาทิ CLMV แอฟริกา ลาตินอเมริกา เป็นต้น หรือกระจายการส่งออกสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม
การค้าโดยตรงจากการที่ไทยอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของจีนไปยังตลาดหลบภัยอื่นๆ ที่ได้ประโยชน์จากสงครามการค้า อาทิ การส่งออก
แผงวงจรไฟฟ้าไปเม็กซิโก หรือส่งออกคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบไปตลาดอินเดีย แคนาดา เป็นต้น สำหรับทางออกในระยะยาว
ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันในการผลักดันการลงทุนใหม่อย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ
ภาคตะวันออก (EEC) และการลงทุนในอุตสาหกรรม S-Curve ซึ่งจะมุ่งเน้นการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้นวัตกรรมใหม่ๆ และมีมูลค่า
เพิ่มสูง ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้บนเวทีโลกอย่างยั่งยืนในระยะยาว |
|
|
|
|
|
|