ฮ่องกง ถือเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญของภูมิภาคเอเชีย ทั้งในด้านการค้า การท่องเที่ยว และการเงิน อย่างไรก็ตาม
ด้วยปัจจัยบั่นทอนที่รุมเร้ารอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการประท้วงครั้งใหญ่ในฮ่องกงที่ยืดเยื้อมากว่า 6 เดือน รวมถึงสงครามการค้าระหว่าง
สหรัฐฯ และจีนที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติ ทำให้เศรษฐกิจฮ่องกงซึ่งเป็นประตูการค้าที่สำคัญของจีนแย่ลงต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 3 ปี 2562
หดตัว 3.2% (q-o-q) นับเป็นการหดตัวสองไตรมาสติดต่อกัน ส่งผลให้เศรษฐกิจฮ่องกงเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค (Technical
Recession) ครั้งแรกในรอบ 10 ปี ปัจจัยดังกล่าวทำให้หลายฝ่ายเริ่มกังวลว่า ความเสี่ยงต่างๆ ที่เกิดขึ้นอาจสั่นคลอนสถานะศูนย์กลาง
ทางเศรษฐกิจของฮ่องกงใน 3 มิติ ดังนี้
• ศูนย์กลางทางการค้า ฮ่องกงถือได้ว่าเป็น “ชาติการค้า” หรือ “Trading Nation” ที่สำคัญของภูมิภาคและของโลก โดยการค้า
ระหว่างประเทศต่อ GDP ของฮ่องกงคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 300% สูงที่สุดในโลก โดยราว 50% เป็นการค้ากับจีน ทั้งนี้ มูลค่าส่งออก
ของฮ่องกงปี 2562 หดตัวต่อเนื่องทุกเดือนตั้งแต่ต้นปี ส่งผลให้ในช่วงครึ่งแรกปี 2562 มูลค่าส่งออกของฮ่องกงหดตัว 3.7% (y-o-y)
โดยมีสาเหตุหลักมาจากการส่งออกไปจีนที่หดตัวถึง 6% ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่คล้ายกับหลายประเทศในเอเชีย รวมถึงไทย ซึ่งอยู่ใน
ห่วงโซ่อุปทานของจีนที่ล้วนได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ประท้วงในเดือนมิถุนายน 2562
การส่งออกของฮ่องกงกลับยิ่งทรุดหนัก โดยในไตรมาส 3 มูลค่าส่งออกของฮ่องกงหดตัวเพิ่มขึ้นเป็น 6.5% สะท้อนให้เห็นว่าการค้า
ระหว่างประเทศของฮ่องกงถูกซ้ำเติมจากการประท้วงที่ทำให้การผลิตและการขนส่งบางส่วนต้องสะดุดลง นอกเหนือจากเหตุผลที่เกิดขึ้น
จากสงครามการค้า
• ศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการเดินทาง ฮ่องกงมีนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 29 ล้านคนต่อปี และหากรวมชาวต่างชาติ
ที่เดินทางผ่านฮ่องกง (Sameday Visitors) เข้าไปด้วยจะมีจำนวนสูงถึงราว 65 ล้านคน สูงเป็นอันดับต้นๆ ในภูมิภาค ด้วยจุดเด่นของ
การเป็นแหล่งช้อปปิ้งที่มีชื่อเสียง จากการเป็นแหล่งซื้อขายสินค้าปลอดภาษี อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ประท้วงครั้งใหญ่ที่เริ่มขึ้น
ในเดือนมิถุนายน ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติที่เดินทางผ่านฮ่องกงในไตรมาส 3 หดตัวถึง 26% ต่ำสุดนับตั้งแต่โรค SARS
ระบาดเมื่อปี 2546 ส่งผลให้ยอดค้าปลีกของฮ่องกงในไตรมาส 3 หดตัวถึง 18% สะท้อนให้เห็นว่า เหตุการณ์ประท้วงที่เกิดขึ้นกระทบต่อ
การเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวและการเดินทางของฮ่องกงค่อนข้างรุนแรง
• ศูนย์กลางทางการเงิน ปัจจุบันสินทรัพย์ของสถาบันการเงินต่อ GDP ของฮ่องกงคิดเป็นสัดส่วนราว 250% สูงที่สุดในโลก
หากพิจารณาตัวชี้วัดต่างๆ ของภาคการเงินนับตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุประท้วงในเดือนมิถุนายน พบว่า สถานะของภาคการเงินในฮ่องกง
ยังคงแข็งแกร่ง โดยสินเชื่อในรูปเงินตราต่างประเทศของฮ่องกงล่าสุดในเดือนกันยายน 2562 อยู่ที่ 4.07 ล้านล้านดอลลาร์ฮ่องกง เพิ่มขึ้น
จาก 3.92 ล้านล้านดอลลาร์ฮ่องกงในเดือนมิถุนายน 2562 ขณะที่เงินฝากในรูปเงินตราต่างประเทศทั้งหมดในเดือนกันยายน 2562 อยู่ที่
ราว 6.71 ล้านล้านดอลลาร์ฮ่องกง เพิ่มขึ้นจาก 6.65 ล้านล้านดอลลาร์ฮ่องกงในเดือนมิถุนายน นอกจากนี้ ทุนสำรองระหว่างประเทศ
ในเดือนกันยายน 2562 อยู่ที่ 3.44 ล้านล้านดอลลาร์ฮ่องกง ลดลงเพียงเล็กน้อยจากเดือนมิถุนายน ซึ่งอยู่ที่ 3.48 ล้านล้านดอลลาร์ฮ่องกง สะท้อนว่าภาคการเงินของฮ่องกงยังไม่ถูกสั่นคลอน
สำหรับประเทศไทย ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจในฮ่องกง ทั้งในภาคส่งออกและท่องเที่ยว โดยในภาคส่งออก พบว่า
มูลค่าส่งออกของไทยไปฮ่องกงในช่วง 9 เดือนแรกหดตัวถึง 8% หดตัวสูงสุดเป็นอันดับ 2 รองจากอาเซียนเดิมหากพิจารณาจาก
ตลาดส่งออก 10 อันดับแรกของไทย ขณะที่ในภาคการท่องเที่ยว พบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวชาวฮ่องกง ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวอันดับ 9
ของไทยหดตัว 2% ในไตรมาส 3 ปี 2562 เทียบกับในช่วงครึ่งปีแรกที่ขยายตัวกว่า 7% อย่างไรก็ตาม การท่องเที่ยวของไทยก็ได้
อานิสงส์จากเหตุการณ์ประท้วงในฮ่องกงเช่นกัน เห็นได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ที่เข้ามาไทย
ในช่วงไตรมาส 3 ที่ขยายตัว 18.8% 12.9% 7.7% และ 8.5% ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มหันมา
ท่องเที่ยวในประเทศอื่นๆ รวมถึงไทยแทนฮ่องกงที่เกิดเหตุการณ์ไม่สงบ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยควรติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
อย่างใกล้ชิดเพื่อที่จะได้ป้องกันความเสี่ยง หรือปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์อย่างทันท่วงที
|